Loading
Header Image
สถานะFTA
สถานะ FTA
สถานะการจัดทำ FTA ของไทยกับประเทศต่างๆเป็นอย่างไร
FTA ลงนาม เริ่มลดภาษี ลดภาษีเป็น 0 บริการและการลงทุน
ไทย-ออสเตรเลีย 5 ก.ค. 2547 1 ม.ค. 48

ออสเตรเลีย
1 ม.ค. 53 = 96.07% 
1 ม.ค. 58 = 100%

ไทย
1 ม.ค. 53 = 93.28%
1 ม.ค. 68 = 100%
- กำหนดให้เจรจาต่อภายใน 3 ปี (2551)
- เสนอกรอบเจรจา
ไทย-นิวซีแลนด์ 19 เม.ย. 2548 1 ก.ค. 48 นิวซีแลนด์
1 ม.ค. 53 = 88.46%
1 ม.ค. 58 = 100%

ไทย
1 ม.ค. 53 = 89.72%
1 ม.ค. 68 = 100%

- เจรจาบริการภายใน3 ปี (2551)
- เสนอกรอบเจรจา
ไทย-ญี่ปุ่น 3 เม.ย. 2550 1 พ.ย. 50 ญี่ปุ่น
1 ม.ค. 53 = 80.66%
1 เม.ย. 53 = 80.66%
1 เม.ย.65 = 88.49%
ไทย
1 ม.ค. 53 = 44.87%
1 เม.ย. 53 = 50.92%
1 เม.ย. 60 = 97.86%
- เสนอกรอบเจรจาต่อ ในส่วนของบริการ
(การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา)
ไทย-เปรู
(Early Harvest)
13 พ.ย. 2552 คาดว่า
 ปี 2553
เปรู
2553 = 50%
2558 = 70%
ไทย
2553 = 50%
2558 = 70%
- ชะลอการเจรจาตั้งแต่ปลายปี 2548
ไทย-อินเดีย
(82 รายการ)
9 ต.ค. 2546 1 ก.ย. 47 อินเดีย
1 ก.ย. 49 = 100%
ไทย
1 ก.ย. 49 = 100%
- หยุดเจรจาตั้งแต่ปี 2550
BIMSTEC คาดว่า
ครึ่งแรก
ของปี 53
คาดว่า
1 ก.ค. 53

อินเดีย ศรีลังกา ไทย

Fast Track 30 มิ.ย. 56 = 10%

(ลดให้บังกลาเทศ ภูฏาน เนปาล และพม่า

30 มิ.ย. 54)

Normal Track 30 มิ.ย. 59 = 50%

(ลดให้บังกลาเทศ ภูฏาน เนปาล และพม่า

30 มิ.ย. 57)

- อยู่ระหว่างเจรจาจัดทำข้อบท
การค้าบริการและการลงทุน


 

FTA ลงนาม เริ่มลดภาษี ลดภาษีเป็น 0 บริการและการลงทุน

ASEAN

(ATIGA)

26 ก.พ.2552 1 ม.ค. 53
มาเลเซีย = 98.4%
สิงคโปร์ = 100%
อินโดนีเซีย = 98.7%
ฟิลิปปินส์ = 99.0%
บรูไน = 99.2%

ไทย
1 ม.ค. 53 = 99.8%
(CLMV สินค้าปกติ)
1 ม.ค. 53 = 0-5%
1 ม.ค. 58 = 0%)

- จัดทำข้อผูกพันเปิดตลาด
การค้าบริการชุดที่ 8
- อยู่ระหว่างดำเนินการในการให้สัตยาบัน
- ความตกลงด้านการลงทุน

อาเซียน-จีน 29 พ.ย. 2547

Early Harvest 
(พิกัด 01-08)
1 ม.ค. 47

ผักผลไม้
(พิกัด 07-08)
1 ต.ค. 46

สินค้าทั่วไป
20 ก.ค. 48

จีน
1 ม.ค. 53 = 86.4%

ไทย
1 ม.ค. 53 = 83.0%

- อยู่ระหว่างเจรจาเปิดตลาดบริการชุดที่ 2
การลงทุน มีผล 15 ก.พ. 53

อาเซียน-ญี่ปุ่น 11 เม.ย. 2551 สำหรับไทย
1 มิ.ย. 52

ญี่ปุ่น
1 ม.ค. 53 = 79.50%
1 เม.ย. 53 = 79.50%
1 เม.ย. 66 = 85.80%

ไทย
1 ม.ค. 53 = 32.00%
1 เม.ย. 53 = 34.80%
1 เม.ย. 61 = 97.85%

- ตั้งอนุกรรมการเพื่อเจรจาเรื่องบริการ
และลงทุน (พ.ย. 52)แต่ยังไม่เริ่มเจรจา

อาเซียน-เกาหลี 27 ก.พ. 2552 1 ม.ค. 53

เกาหลี
1 ม.ค. 53 = 92.3%

ไทย
1 ม.ค. 53 = 89.2%
1 ม.ค. 55 = 92.2%
1 ม.ค. 60 = 95.4%

บริการ มีผล 1 ม.ค. 53
ลงทุน มีผล 31 ต.ค. 52

อาเซียน-อินเดีย 13 ส.ค. 2552 1 ม.ค. 53 อินเดีย
31 ธ.ค. 56 = 70.18%
31 ธ.ค. 59 = 79.35%
ไทย
31 ธ.ค. 56 = 70.90%
31 ธ.ค. 59 = 79.34%
- อยู่ระหว่างการเจรจา

อาเซียน-
ออสเตรเลีย-
นิวซีแลนด์

27 ก.พ. 2552 12 มี.ค. 53 ออสเตรเลีย
12 มี.ค. 53 = 95.96%
1 ม.ค. 63 = 100%
นิวซีแลนด์
12 มี.ค.53 = 84.96%
1 ม.ค. 55 = 90.13%
1 ม.ค. 63 = 100%
ไทย
12 มี.ค. 53 =72.29%
1 ม.ค. 58 = 89.77%
1 ม.ค. 63 = 98.80%

- เจรจาเปิดเสรีบริการเพิ่มขึ้นภายใน 3 ปี
การลงทุน จัดตารางทำข้อสงวน
การเปิดเสรีภายใน 5 ปี


 

หมายเหตุ : % ทั้งหมดเป็น%ของรายการสินค้า (Tariff Line)

กองทุน FTA
กองทุน FTA
การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก FTA แต่ละกรอบความตกลง

อาเซียน

    - กองทุน FTA ของกระทรวงพาณิชย์ ให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมยาในการปรับตัว 3 โครงการ เป็นเงิน 25.8 ล้านบาท  สมุนไพร 14.1 ล้านบาทสินค้าชา 1 โครงการ เป็นเงิน 5.31 ล้านบาท

    - กองทุน FTA ของกระทรวงเกษตรฯ ให้ความช่วยเหลือสินค้าชา 6.8 ล้านบาท  ปาล์มน้ำมัน 19.6 ล้านบาท  กาแฟ 54.4 ล้านบาท  และอยู่ในระหว่างพิจารณาให้ความช่วยเหลือสินค้าข้าว หม่อนไหม  และมะพร้าว

ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

    - กองทุน FTA ของกระทรวงพาณิชย์ ให้ความช่วยเหลือสินค้าโคเนื้อโคนม 5 โครงการ เป็นเงิน 35.29 ล้านบาท

    - กองทุน FTA ของกระทรวงเกษตรฯ ให้ความช่วยเหลือสินค้าโคเนื้อโคนม 6 โครงการ เป็นเงิน 144 ล้านบาท  สินค้าสุกร 1 โครงการ เป็นเงิน 30 ล้านบาท

จีน

    - กองทุน FTA ของกระทรวงพาณิชย์ ให้ความช่วยเหลือสินค้าเครื่องหนัง 1 โครงการ เป็นเงิน 1 ล้านบาท  เครื่องใช้ไฟฟ้า 1 โครงการ เป็นเงิน 4.8 ล้านบาท  ส้ม 2 โครงการ เป็นเงิน 22.6 ล้านบาท  ลิ้นจี่ 6.1 ล้านบาท  ปลาน้ำจืด 13.0 ล้านบาท ชา 5.3 ล้านบาท

    - กองทุน FTA ของกระทรวงเกษตรฯ ให้ความช่วยเหลือสินค้าชา 6.8 ล้านบาท

เปรู

    - กองทุน FTA ของกระทรวงพาณิชย์ ให้ความช่วยเหลือสินค้าปลาป่น 2 โครงการ เป็นเงิน 12.764 ล้านบาท

บริการ AFTA&JTEPA

    - กองทุน FTA ของกระทรวงพาณิชย์ ให้ความช่วยเหลือด้านขนส่ง 1 โครงการ เป็นเงิน 10 ล้านบาท  โครงการด้านท่องเที่ยว  1 โครงการ 5.28 ล้านบาท โครงการด้านบริการอาหาร 1 โครงการ 8.05 ล้านบาท

มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการทำ FTA

   รัฐบาล มีมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการทำ FTA โดยจัดตั้ง กองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ซึ่งในปีงบประมาณ 2549-2552 ได้รับการจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือ 540 ล้านบาท สำหรับปี 2553 ไม่ได้ขอจัดสรรงบประมาณ  กระทรวงเกษตรฯได้ให้ความช่วยเหลือสินค้ากระเทียม โคเนื้อ โคนม ปาล์มน้ำมัน ชา สุกร และกาแฟ  รวม 11 โครงการ เป็นเงินประมาณ 336.5 ล้านบาท

   อีกโครงการหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือคือ โครงการช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ผลิตและผู้ประกอบการในสินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าอุตสาหกรรม และบริการที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ได้รับจัดสรรงบประมาณปี 2550-2553 รวมเป็นเงิน 280 ล้านบาท  จนถึงขณะนี้ ได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไปแล้ว จำนวน 21 โครงการ  ในสินค้าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องหนัง  ยา  ปลาป่น ปลาน้ำจืด โคเนื้อ โคนม  สมุนไพร  ชา  ส้ม  ลิ้นจี่  บริการอาหาร ขนส่ง และท่องเที่ยว  เป็นวงเงินประมาณ 158.5 ล้านบาท

ประเทศ / ASEAN / AEC
ประเทศ / ASEAN / AEC
ในกรอบอาเซียนมีการเจรจาทำ FTA กับประเทศใดบ้างหรือไม่ และจะได้รับประโยชน์อย่างไร

ปัจจุบันอาเซียนยังอยู่ระหว่างการจัดทำเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และสหภาพยุโรป และได้ทำการศึกษาหาความเป็นไปได้ในการจัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียน - GCC (Gulf Cooperation Council: ประกอบด้วย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต กาตาร์ โอมาน ซาอุดิอาระเบีย และบาห์เรน)  และอาเซียน-MERCOSUR (ตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง : ประกอบด้วย บราซิล อาร์เจนตินา ปารากวัย อุรุกวัย และเวเนซูเอลา) และในอนาคตอาจมีการขยายการจัดทำ FTA ของอาเซียนออกไปในกรอบกว้างมากขึ้น อาทิในกรอบอาเซียน+3 และอาเซียน+6 เพื่อขยายตลาด การค้าและการลงทุน

กระทรวงพาณิชย์มีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่อง AEC อย่างไรบ้าง

(1) กระทรวงพาณิชย์ได้ หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง

     - ตั้งแต่กระบวนการเจรจาจัดทำแผนงานที่อาเซียนจะก้าวไปสู่ AEC 

     - การปฏิบัติตามแผนงาน และแนวทางรองรับผลกระทบ ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการตามแผนงาน AEC ซึ่งมีปลัดพณ. เป็นประธาน และมี ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 47 หน่วยงาน ร่วมอยู่ด้วย

(2) ในวันที่ 1 ม.ค.53 ที่ภาษีภายใตเขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับอาเซียนเดิม 6 ประเทศจะเป็น 0 คิดว่าภาคส่วนต่างๆ ของไทยน่าจะมีความพร้อม เพราะกระทรวงพาณิชย์ได้มีการประชาสัมพันธ์มาอย่างต่อเนื่อง ในหลายช่องทางและหลายรูปแบบ ทั้งการเผยแพร่ผานสื่อต่างๆ การอบรมสัมมนา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวของเป็นอย่างดี (กระทรวงเกษตรฯกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง)

(3) ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ (โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) ได้ดำเนินการจัดสัมมนาให้กับทั้งภาครัฐและเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

     - ในปี 2550 จำนวน  23 ครั้ง

     - ในปี 2551 จำนวน  38 ครั้ง

     - ในปี 2552 จำนวน  56 ครั้ง

     - ในปี 2553 มีแผนงานจะจัดจํานวน 60 ครั้ง โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายได้แก่นักธุรกิจผู้ประกอบการ เกษตรกร อาจารย์ นักศึกษา NGOs และประชาชนทั่วไป 

(4) กระทรวงฯ ได้กำหนดแผนการจัดการสัมมนาให้ถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยการสร้างพันธมิตรกับผู้นำสถาบันต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้ ทำการจัดสัมมนาร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต เป็นต้น

ความคืบหน้าในการเจรจา FTA ระหว่าง ASEAN กับคู่เจรจา

ความคืบหน้าการเจรจาในแต่ละกรอบสรุปได้ดังนี้

1) อาเซียน-จีน

การค้าสินค้า : อาเซียนจะจีนลงนามความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าแล้วเมื่อปี 2547 และเริ่มลดภาษีสินค้ามาตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2548 

การค้าบริการ : ได้มีการลงนามความตกลงการค้าบริการและข้อผูกพันการเปิดตลาดรายสาขา ชุดที่ 1 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2550 และความตกลงมีผลบังคับใช้ แล้วตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2550 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำข้อมูลผูกพันชุดที่สองโดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปการเจรจา ภายในกลางปี 2553

การลงทุน : อาเซียนและจีนได้ลงนามความตกลงด้านการลงทุนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2552 โดยความตกลงดังกล่าวได้มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553

ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ : อาเซียนและจีนได้จัดตั้งคณะทำงานว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในปี 2552 โดยคณะทำงานจะหารือเพื่อจัดทำโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับความตกลงฯ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศภาคีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน

2) อาเซียน-อินเดีย

การค้าสินค้า : ได้มีการลงนามความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าแล้วเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552 โดยได้เริ่มมีผลบังคับใช้ในการลดภาษีระหว่างกันแล้วในต้นปี 2553

การค้าบริการและการลงทุน : อยู่ในระหว่างการเจรจา โดยได้ตั้งเป้าสรุปผลการเจรจาภายใน การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนครั้งที่ 42 ในเดือน สิงหาคม 2553

กลไกระงับข้อพิพาท : อยู่ระหว่างการเจรจา

3) อาเซียน-ญี่ปุ่น

อาเซียนและญี่ปุ่นได้สรุปผลการเจรจาได้แล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 เห็นชอบให้ประเทศไทยลงนามในความตกลงซึ่งอาเซียนและญี่ปุ่นได้ลงนามในความตกลงฯ  แล้วเมื่อเดือนเมษายน 2551 และเริ่มบังคับใช้ความตกลง ด้านสินค้าแล้วเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 สำหรับด้านการค้าบริการและการลงทุนอยู่ระหว่างหารือเพื่อเริ่มการเจรจา

4) อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี

กรอบความตกลงและความตกลงกลไกระงับข้อพิพาท : เกาหลีและอาเซียนลงนามความตกลงทั้งสองฉบับเมื่อเดือนธนวาคม  2549 และมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนมิถุนายน 2550 

การค้าสินค้า : เกาหลีและอาเซียน (ยกเว้นไทย) ลงนามความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเมื่อปี2549 และมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2550 โดยไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงเมื่อเดือนกุมภาพัยธ์ 2552 และมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคม 2552

การค้าบริการ : เกาหลีและอาเซียน (ยกเว้นไทย) ลงนามความตกลงฯเมื่อเดือนพฤศจิกายน2550 และมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2552 โดยไทยเข้าร่วมความตกลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 และมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนมิถุนายน 2552

การลงทุน : เกาหลีและอาเซียนลงนามความตกลงฯเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 และมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนกันยายน 2552

5) อาเซียน-ออสเตรเลยี-นิวซีแลนด์

อาเซียนกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้ ลงนามในความตกลงแล้วเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 โดยความตกลงได้มีผลบังคับใช้สำหรับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสมาชิกอาเซียน 6 ประเทศ (บรูไน มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และเวียดนาม) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2553 และจะมีผลบังคับใช้สำหรับไทยในวันที่ 12 มีนาคม 2553

6) อาเซียน-สหภาพยุโรป

ไทยได้เข้าร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียนสหภาพยุโรป มาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งมีการเจรจาแล้วรวม 7 ครั้ง แต่ทั้งสองฝ่ายยังมีความแตกต่างกันเรื่องระดับการพัฒนาและระดับการเปิดตลาดสินค้าและบริการรวมทั้งประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ จึงทำให้ การประชุมครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 4-5 มีนาคม 2552 ได้มีมติให้พักการเจรจา

ไทยจะได้ประโยชน์อย่างไรจากการเป็น AEC ในทางกลับกัน ไทยมีพันธกรณีต้องดำเนินการด้านใดบ้าง

การเป็น AEC จะช่วยลดอุปสรรคในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกรวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านต่างๆระหว่างกัน เช่น ด้านพิธีการศุลกากร มาตรฐานและความสอดคล้องการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง เป็นต้น

ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเป็น AEC

1) การเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วน อาเซียนจะเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนที่สำคัญของไทย และจะช่วยส่งเสริมเป้าหมายการเป็น gateway ของไทยทั้งด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งไทยจะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดการมองอาเซียนจากคู่แข่งมาเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจโดยการสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้น ทั้งแก่คนไทยและผู้ประกอบการไทย

2) การเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ ไทยจะต้องใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละ ประเทศให้เป็นประโยชน์โดยพิจารณา competitive advantage เป็นสำคัญเนื่องจากประเทศในอาเซียนมีความ หลากหลายและความพร้อมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไปมีทั้งกลุ่มที่มีความชำนาญในด้านเทคโนโลยี กลุ่มที่ เป็นฐานการผลิต และกลุ่มที่มีทรัพยากรและแรงงานสำหรับการผลิต ดังนั้นไทยจึงจำเป็นต้องพิจารณาเลือกใช้ ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่ของแต่ละประเทศให้เหมาะสม

3) การเป็นฐานการผลิตให้อุตสาหกรรมไทยไทยอาจพิจารณาเคลื่อนย้ายฐานการผลิตในบางอุตสาหกรรมออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานและแรงงานกึ่งฝีมือเช่นอุตสาหกรรม แปรรูปอาหาร สิ่งทอเฟอร์นิเจอร์แปรรูปผลิตภัณฑ์ไม้ หรือการไปร่วมลงทุน กับประเทศเพื่อนบ้าน

4) การเป็นตลาดที่มีประชากรกว่า 550 ล้านคนการรวมกลุ่มของอาเซียนจะทำให้ ตลาดการค้าของไทยในอาเซียนขยายออกไปมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันเนื่องจาก การลดอุปสรรคในด้านต่างๆ ลง

พันธกรณี ที่ไทยจะต้องดำเนินการ

1) Free flow of goods

Liberalization

- ยกเลิกภาษีสินค้าทุกรายการสำหรับสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ภายในปี 2010 (พ.ศ.2553) ยกเว้นสินค้าอ่อนไหว (sensitive list: SL) ซึ่งไทยมี 4 ประเภทสินค้าได้แก่ กาแฟ มันฝรั่งมะพร้าวและไม้ตัดดอก  ซึ่งสามารถคงภาษีไว้ได้ ไม่เกิน 5% 

- ยกเลิกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีซึ่งในส่วนของไทยได้แก่สินค้าเกษตร  23 รายการ ที่จะต้องยกเลิกโควตา(TRQs) ทั้งหมด ให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน 

- ยอมรับกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าทที่มีความง่ายมาใช้ในอาเซียน ซึ่งประเด็นปัญหาขณะนี้คืออาเซียนยอมใช้ กฎ ROO ที่ง่ายกว่ากับประเทศคู่เจรจาแต่กลับใช้ ROO  ที่ยากกว่าในอาเซียนเท่ากับให้สิทธิประเทศอื่นมากกว่า สมาชิกอาเซียนด้วยกัน ควรต้องปรับให้สอดคล้องกัน

- เร่งจัดตั้ง National Single Window ให้เสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เพื่อเชื่อมต่อกับประเทศ ASEAN-6 เป็นระบบ ASEAN SingleWindow (ASW) ต่อไป โดย ASW เป็นการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรเพื่อให้เอกสารทุกอย่างอยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์และมีการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวของทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้มีการยื่นเอกสารเพียงครั้งเดียวและสามารถตัดสินใจในการตรวจปล่อยได้ในคราวเดียว

2) Free Flow of Services

การเปิดเสรี : 

สำหรับแผนการเปิดเสรีด้านการค้าบริการได้มีการกำหนดเป้าหมายซึ่งสรุปได้ดังนี้

- การให้บริการแบบข้ามพรมแดน (Mode 1) และการให้คนในประเทศเดินทางไปบริโภคบริการในต่างประเทศ (Mode 2) : จะต้องยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมด แต่ทั้งนี้หากมีเหตุผลจำเป็นนที่จะต้องคงเงื่อนไขบางประการสำหรับสาขาบริการนั้นๆ ก็อาจสามารถทำได้

- การให้นักลงทุนอาเซียนเข้ามาจัดตั้งธุรกิจ (Mode 3): ได้มีการกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องเปิดให้นักลงทุนอาเซียนเข้ามาจัดตั้งธุรกิจโดยถือหุ้นได้มากขึ้นจนถึง 70% ซึ่งจะเปิดอย่างเป็นขั้นๆดังนี้ :

   - สำหรับสาขาที่เป็น Priority servicessectors (ซึ่งได้แก่ E-ASEAN (บริการที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม), Tourism, และHealthcare): 49% (ปี 2006), 51% (ปี 2008),และ 70% (ปี 2010)

   - สำหรับสาขา Logistics: 49% (ปี 2008),51% (ปี 2010) และ 70% (ปี 2013)

   - สำหรับสาขาบริการอื่นๆ ที่เหลือ (ซึ่งได้แก่ บริการด้านวิชาชีพ ก่อสร้างการจัดจำหน่ายการศึกษา สิ่งแวดล้อม ขนส่งและอื่นๆ): 49%(ปี 2008), 51% (ปี 2010) และ 70% (ปี 2015)

นอกจากนี้ต่อไปสมาชิกจะได้มีการหารือเพื่อลด/ยกเลิกข้อจำกัดอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการจัดตั้งธุรกิจอีกด้วย ทั้งนี้สำหรับสาขาการเงิน และการขนส่งทางอากาศจะได้มีการกำหนดเป็นการเฉพาะแตกต่างไป

- การเปิดให้บุคคลธรรมดาเดินทางเขามาให้บริการ (Mode 4) : ให้สมาชิกผูกพันเปิดตลาดมากขึ้น และส่งเสริมในเรื่องการเคลื่อนย้ายบุคลากรอาเซียนให้สามารถเดินทางและทำงานในประเทศสมาชิกได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

- อย่างไรก็ตาม เป้าหมายต่างๆ ข้างต้นอาจมีความยืดหยุ่นได้บ้างในระดับหนึ่งซึ่งจะต้องมีการหารือระหว่าง ประเทศสมาชิกต่อไป

3) Free Flow of Investment 

- ทบทวนกรอบความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน (AIA) ให้เป็น Comprehensive Investment Agreement ที่ครอบคลุมเรื่องการเปิดเสรีการอำนวยความสะดวกการส่งเสริมและการคุ้มครองการลงทุนด้วย โดยสาระสำคัญคือการให้สิทธิพิเศษภายใต้กรอบความตกลง AIA จะต้องขยายให้ ครอบคลุม ASEAN-based investors หรือนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาดำเนินกิจการในอาเซียนเพื่อทำให้ อาเซียนเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่น่าดึงดูดมากขึ้นและจะส่งผลให้ได้ รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับชั้นนำของโลกด้วย

4) Freer Flow of Capital

ด้านตลาดทุน - จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการพัฒนาและการรวมตัวของตลาดทุนในอาเซียนโดยสร้างความสอดคล้องในมาตรฐานด้านตลาดทุนในอาเซียน ความตกลงสำหรับการยอมรับซึ่งกันและกันในคุณสมบัติและคุณวฒุิการศึกษาและประสบการณ์ของผู้ประกอบวิชาชีพด้านตลาดทุน และส่งเสริมให้ใช้ ตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันเองในตลาดทุนอาเซียน

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้าย - จะเปิดให้มาเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรียิ่งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้สมาชิกมี มาตรการปกป้องที่เพียงพอเพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคและความเสี่ยง เชิงระบบ รวมถึงการมีสิทธิที่จะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค

อาเซียนจะเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจ (AEC) ภายในปี 2015 ไทยจะต้องเตรียมตัวและมีมาตรการรองรับอย่างไรบ้าง

การที่อาเซียนตั้งเป้าหมายเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ภายในปี 2015 (พ.ศ. 2558) เพื่อให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการการลงทุน แรงงานฝีมืออย่างเสรีและการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ เสรีมากขึ้น ไทยได้ดำเนินการเตรียมความพร้อม และมีมาตรการรองรับ ดังนี้

การเตรียมความพร้อม

(1) ขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนด /ปรับปรุงกฏเกณฑ์/กฏระเบียบที่รับผิดชอบโดยกระทรวงทบวง กรมต่างๆ ใหสอดคล้องกับพันธกรณีตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทั้งในด้านการเปิดตลาดการค้าสินค้า การเปิดเสรีภาคบริการและการเปิดตลาดด้านการลงทุนให้กับประเทศสมาชิก
อาเซียน

(2) สร้างกลไกการประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามแผนงานไปสู่ AEC ขณะนี้ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินการตามแผนงานไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ จำนวน 47 หน่วยงาน (ตามคำสั่ง กนศ. ที่ 1/2550 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2550) ทั้งนี้ ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการฯครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2550

(3) เผยแพร่/ประชาสัมพันธ์ การดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทราบ เพื่อปรับตัวให้ทันกับสภาพการณ์ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป และสามารถให้ประโยชน์ จากการรวมกลุ่มทาง เศรษฐกิจของอาเซียนได้อย่างเต็มที่ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภายในกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ กรมพัฒนาการธุรกิจ การค้า กรมส่งเสริมการส่งออก) และหน่วยงานจากต่างกระทรวง (กระทรวงเกษตรฯกระทรวง อุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง) จัดการเผยแพร่ ่ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนให้กับทุกภาคส่วน เช่น การเผยแพร่บทความ การจัดค่ายเยาวชน  การจัดสัมมนา รวมทั้งจัดวิทยากรไปบรรยาย เป็นต้น

มาตการรองรับ

(1) กองทุนช่วยเหลือการปรับโครงสร้างด้านการเกษตรโดยเฉพาะเกษตรพื้นฐาน ภายใต้กระทรวงเกษตรฯ จนถึงปัจจุบันได้ให้ ความช่วยเหลือไปแล้วประมาณ 260 ล้านบาท  (ในปี 2553 ไม่ได้ขอจัดสรรงบประมาณ ขณะนี้มีวงเงินเหลืออยู่ 272  ล้านบาท) 

(2) กองทุนเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ภายใต้กระทรวงพาณิชย์โดยสนับสนุนเรื่องการวิจัยและพัฒนาจัดหาที่ปรึกษาและปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการธุรกิจจนถึงปัจจุบันได้ให้ ความช่วยเหลือไปแล้วประมาณ 164 ล้านบาท (ปี 2553 ได้รับงบประมาณ 100 ล้านบาท ขณะนี้มีวงเงินเหลือ 75 ล้านบาท)

(3) การจัดระบบบริหารการนําเข้า โดยการกำหนดให้สินค้เกษตรบางรายการที่มีความอ่อนไหวต้องขออนุญาตนำเข้าตามเงื่อนไขที่กำหนดซึ่งจะแตกต่างกันไปตามความอ่อนไหวของสินค้า(ตาม พรบ. การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522)มาตรการรองรับดังกล่าวเช่น กำหนดให้เป็นสินค้าที่ขออนุญาตนำเข้า กำหนดคุณสมบัตรและวัตถุประสงค์ของผู้นำเข้า การขอใบรับรองกำหนดปริมาณสารพิษตกค้าง การใช้มาตรการสุขอนามัย (SPS) ที่เข้มงวด เป็นต้น ในส่วนของสินค้าข้าวที่มีความอ่อนไหวสูง ต้องมีใบรับรองมาตรฐานการนําเข้า การระบุชนิดข้าวและปริมาณที่นำเข้า ติดตามการใช้ข้าวนําเข้าและการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจสอบสินค้าข้าวนําเข้าเพื่อเป็นเงินกองทุนพัฒนาชาวนา

(4) จัดทำระบบติดตามการนำเข้า กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) อยู่ระหว่างจัดทำระบบฐานข้อมูลติดตามและตรวจสอบการนำเข้าสินค้าเกษตรภายใต้ ความตกลง WTO ทั้ง 22 รายการ ที่ได้ยกเลิกโควตาภาษีภายใต้ AFTA  ได้แก่ 1.น้ำนมดิบและนมพร้อมดื่ม 2.นมผงขาดมันเนย  3.มันฝรั่งสดหรือแช่เย็น 4.หอมหัวใหญ่ 5.กระเทียม 6. มะพร้าวและมะพร้าวฝอย 7.ลำไยแห้ง 8.กาแฟ 9.ชาใบ ชาผง 10.พริกไทยในตระกูลไปเปอร์ไม่บดและไม่ป่นและบดหรือป่น 11. ข้าว 12. เนื้อมะพร้าวแห้ง 13. เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ 14.น้ำมันถั่วเหลืองและแฟรกชันของน้ำมันถั่วเหลือง  15.น้ำมันปาล์ม และแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม 16.น้ำมันมะพร้าวและแฟรกชันของน้ำมันมะพร้าว 17.สิ่งสกัด หัวเชื้อและสิ่งเข้มข้นของกาแฟและของปรุงแต่งที่มีสิ่งสกัดหัวเชื้อหรือเข้มข้นเหล่านี้เป็นหลักหรือที่มีกาแฟเป็นหลัก 18.ไหมดิบ (ยังไม่เข้าเกลียว) 19.ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 20.ถั่วเหลืองจะทำให้แตกหรือไม่ก็ตาม 21.น้ำตาลที่ได้จากอ้อยหรือหัวบีตและซูโครสที่บริษัทในทางเคมีในลักษณะของแข็ง 22.กากน้ำมันและกากแข็งอื่นๆ ที่ได้จากการสกัดน้ำมันถั่วเหลืองจะบดหรือทำให้เป็นเพลเลตหรือไม่ก็ตาม เพื่อวิเคราะห์เฝ้าระวังการนำเข้า สำหรับใบยาสูบอยู่ภายใต้ กำกับดูแลของกระทรวงการคลัง

(5) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล สำรวจพื้นที่เป้าหมาย เพื่อติดตามศึกษาวิเคราะห ์สถานการณ์ ความเคลื่อนไหว ทั้งปริมาณและราคาอย่างใกล้ ชิดและรวดเร็วเพื่อประสานหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและวางมาตรการรองรับ

(6) การใช้พรบ. มาตรการปกป้องการนําเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure) ในกรณีที่การเปิดเสรีก่อให้เกิดการนำเข้าสินค้ารายการหนึ่งรายการใด มากจนอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ผลิต/ผู้ประกอบการภายในประเทศ ภาครัฐสามารถใช้อำนาจตาม พรบ.มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure) ซึ่งสภาได้ผ่านกฎหมายฉบับนี้ออกมาแล้ว ในการปกป้องผู้ผลิต/ผู้ประกอบการในประเทศได้

FTA / WTO / อื่นๆ
FAQs FTA
ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) หมายถึงอะไร

ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) หมายถึง การรวมกลุ่มเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมาย เพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลุ่มลงให้เหลือน้อยที่่สุด หรือเป็น 0% และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม การทําความตกลงการค้าเสรีในอดีตมุ่งในด้านการเปิดเสรีด้านสินค้า (goods) โดยการลดภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีเป็นหลัก แต่ความตกลงการค้าเสรีในระยะหลังๆ นั้นรวมไปถึงการเปิดเสรีด้านบริการ (services) และการลงทุนด้วย

ทำไมไทยต้องทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ทำแล้วได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง

ปัจจุบันสถานการณ์การแข่งขันในตลาดโลกได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ไทยต้องพึ่งการค้า ระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ  การส่งออกถือเป็นจักรกลสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2552 นํารายได้เข้าประเทศกว่า 5 ล้านล้านบาท คิดเป็นครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมด การทํา FTA จึงมีผลสำคัญเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้

- ช่วยรักษาตลาดเดิม และขยายการค้าสู่ตลาดใหม่ เพื่อโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการของไทยที่มีศักยภาพ

- ลดอุปสรรคด้านภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษีระหว่างกัน

- ลดการพึ่งพาสิทธิพิเศษด้านภาษี (Generalized System of Preference :GSP) ซึ่งมีความไม่แน่นอน

- ดึงดูดต่างชาติให้ย้ายฐานการผลิตและการลงทุนมาไทยมากขึ้น ขณะเดียวกันสนับสนุนคนไทยไปลงทุนต่างประเทศ

- ผลักดันให้มีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่มีศักยภาพ

จากการที่ไทยยังต้องพึ่งการค้าระหวางประเทศ  โดยเฉพาะการส่งออก ไทยจึงต้องทำงานใน 2 ส่วน ไปพร้อม ๆ กัน ส่วนแรกคือการเจาะตลาด / ส่งเสริมการส่งออก ส่วนที่ 2 คือ การทำให้อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดประเทศคู่ค้าลดน้อยลง ซึ่งการทำให้อุปสรรคลดน้อยลงนั้น ต้องทำผ่านการเจรจาในเวทีระดับต่าง ๆ

- การเจรจาในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็น FTA ระดับโลกที่ GATT/WTO โดยสมาชิก 100 กว่า ประเทศมาเจรจาพร้อมกันหมด (ปัจจุบัน WTO มีสมาชิก 153 ประเทศ)

- การเจรจาใน 10 ที่ผ่านมา เปลี่ยนมาเน้นการเจรจา FTA ในระดับภูมิภาค เช่น EU NAFTA ตามด้วยระหว่างภูมิภาค เช่น EU-Mercosur และ FTA ระหว่างประเทศ

- ไทยต้องเจรจาเพื่อรักษา margin ในการแข่งขันของไทยไว้ไม่ให้สินค้าของไทยในตลาดคู่ค้าเสียเปรียบคู่แข่ง เพราะได้สิทธิพิเศษกว่าไทย ไมว่าจะเป็นมาตรการภาษีหรือมิใช่ภาษี (NTM : Non-tariff Measures)

- นอกจากนี้การเจรจา FTA จะช่วย

- ลดอุปสรรคทางการค้ารูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษีให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อให้การค้าขยายตัว และเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการของไทยไปยังตลาดต่างประเทศ 

- เป็นช่องทางกระจายสินค้าไปสู่ภูมิภาคใกล้เคียง เช่น อินเดียเพื่อใช้เป็นฐานการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศในเขตเอเชียใต้

- เสริมสร้างบรรยากาศในการลงทุนเพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็สนับสนุนให้คนไทยไปลงทุนในต่างประเทศด้วย

- สร้างพันธมิตรทางด้านเศรษฐกิจ เป็นการเพิ่มบทบาทและอํานาจต่อรองของไทยในเวทีโลก

- ทําให้ประชาชนมีการกินดีอยู่ดีเพิ่มขึ้น มีทางเลือกในการอุปโภคบริโภคสินค้าได้หลากหลายและราคาต่ำลง

มีหลักเกณฑ์อะไรในการคัดเลือกประเทศที่จะทำ FTA

รัฐบาลได้เลือกประเทศที่จะทํา FTA โดยมีเหตุผลสําคัญ  เพื่อรักษาสถานภาพและศักยภาพในการส่งออกของไทยในการขยายโอกาสการส่งออก  และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้าไทยโดยมีหลั กเกณฑ์ในการเลือกประเทศที่ทํา FTA ดังนี้

- เป็นตลาดการค้าดั้งเดิมของไทย เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ฯลฯ

- ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์  ฯลฯ

- แหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพราคาตํ่า  เช่น จีน  อินเดีย ฯลฯ

- ประเทศที่มีศักยภาพด้านการค้าและการลงทุน เช่น เปรู สมาคมการค้าเสรียุโรป (European Free Trade Association : EFTA) และเป็นประตู เชื่อมโยงการค้าและการลงทุ นไปสู่ประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง

มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินผลได้–ผลเสีย ในการทำ FTA หรือไม่

ในการเจรจา FTA ได้มีการดําเนินการด้วยความโปร่งใสและรอบคอบ โดยมีการศึกษาล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งก่อนและหลังการเจรจา

ก่อนการเจรจา ได้จัดจ้างสถาบันการศึกษาและนักวิชาการ ศึกษา วิเคราะห์เบื้องต้นถึงความเป็นไปได้และประเมินผลดี ผลเสียในการจัดทำ FTA กับประเทศต่าง ๆ กว่า 60 โครงการ รวมทั้งร่วมศึกษากับบางประเทศที่แสดงความสนใจอยากทำ FTA กับไทย เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี เป็นต้น  ซึ่งหากกลุ่มประเทศ / ประเทศใดในภาพรวมได้ประโยชน์มากกว่าผลกระทบก็เจรจาต่อไป

ระหว่างการเจรจา ได้มีการประชุมหารือกับภาคเอกชนรวมทั้งศึกษาวิเคราะห์เพิ่มเติมและประเมินผลเป็นระยะ ๆ  ควบคู่กันไป หากมีประเด็นต้องแก้ไขก็จะศึกษาทบทวน

หลังการเจรจา ติดตามและประเมินผลภายหลังความตกลงมีบังคับใช้ รวมถึงแนวทางการขยายประโยชน์จากการทำ FTA

การทำ FTA รัฐบาลให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกภาคส่วนหรือไม่อย่างไร

ในการเจรจาจัดทํา FTA  รัฐบาลได้ดําเนินการด้วยความโปร่งใส  ยึดหลักการมีส่วนร่วมกับทุกฝ่ายโดยได้มีการสร้างความรู้ความเข้าใจและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนทั้งกลุ่มที่มีส่วนได้เสีย และกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบจากการทําFTA ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  มีส่วนร่วมในการให้ข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับการเจรจา โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ  กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการ ดังนี้

การสร้างความรู้ความเข้าใจ

  1. จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการเจรจาต่อกลุ่่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) เกษตรกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
  2. เผยแพร่ข้อมูลผลการเจรจา FTA อย่างกว้างขวาง ผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
  3. ได้จัดทำ Website http://www.thaifta.com เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเรื่อง FTA ซึ่งรวมถึงความคืบหน้า / สถานการณ์เจรจา FTA ต่างๆ
  4. จัดตั้ง Call Center เพื่อตอบข้อซักถามทางโทรศัพท์ที่ หมายเลข 02-507-7555 และร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกในการให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ FTA  ณ ศูนย์ One Stop Service กรมส่งเสริมการส่งออก ถนนรัชดาภิเษก

การมี FTA จะทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากภาษีศุลกากรลดลง จะทำให้มีการเก็บภาษีชนิดอื่นๆเพิ่มขึ้นหรือไม่

แม้ว่าการทําความตกลงการค้าเสรี (FTA) จะมีการเปิดตลาดโดยการลดภาษีนําเข้าระหว่างประเทศภาคีและมีข้อกังวลใจว่า FTA จะทําให้ประเทศไทยมีรายได้จากการเก็บภาษีศุลกากรลดลง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเมื่อหักล้างกับการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศภาคีแล้ว ในที่สุดรัฐจะมีรายได้จากการเก็บภาษีต่างๆ ในประเทศลดลง เนื่องจากรายได้หลักของรัฐบาลมาจากการจัดเก็บภาษีโดย กรมสรรพากรกรมสรรพสามิต และกรมศลกากร ซึ่งในปีงบประมาณ 2552 สัดส่วนต่อรายได้รัฐทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 75.4, 19.3 และ 5.3 ตามลําดับ ดังนั้น การลดภาษีศุลกากรภายใต้ FTA อาจมีผลต่อรายได้โดยรวมของรัฐไม่มากนัก

ทั้งนี้ FTA จะช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศภาคี เมื่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการมีรายได้มากขึ้น การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นและมีการจ้างงานมากขึ้น รัฐอาจจัดเก็บภาษีชนิดอื่นๆ ได้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญมีดังนี้

  1. ภาษีทางตรง เมื่อผู้ประกอบการมีรายได้มากขึ้น หรือมีการจ้างงานมากขึ้น รัฐย่อมเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้มากขึ้น ทั้งนี้ รวมถึงการจัดเก็บภาษีจากแรงงานหรือผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือเข้ามาลงทุนและมีรายได้ในประเทศ
  2. ภาษีทางอ้อม
    2.1 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เมื่อมีการนำเข้าสินค้า หรือเมื่อมีการบริโภคสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นในประเทศ รัฐย่อมสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มขึ้น
    2.2 ภาษีธุรกิจเฉพาะ รัฐอาจจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะกับผู้ประกอบธุรกิจบางประเภทที่กฎหมายกำหนดได้เพิ่มขึ้น เช่น

             - เมื่อมีการขายห้องชุดหรือที่ดินให้แก่ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น

             - เมื่อธนาคารให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเพื่อใช้ลงทุนในกิจการเพิ่มขึ้น เป็นต้น

กระบวนการจัดทำหนังสือสัญญาเป็นไปโดยเปิดเผย โปร่งใส และทั่วถึงหรือไม่ อย่างไร

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ตั้งแต่เริ่มเจรจา โดยเปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็น โดยได้หารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน
กลุ่มส่วนที่มีส่วนได้เสีย กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ทั้งก่อนระหว่างและหลังเจรจา มีการดำเนินการในแนวทางต่างๆ ดังนี้
- หน่วยงานรัฐ การประประชุมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
- ภาคการเมือง การชี้แจงข้อมูลสถานการณ์เจรจา และรับฟังข้อคิดเห็นจากคณะ กรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง  รวมทั้งสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นระยะๆ
- ภาคเอกชน
    - หารือกับผู้ผลิต ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมกว่า 30 สาขา 
    - การประชุมร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯและสภาหอการค้าฯ เป็นประจําและต่อเนื่อง
- ประชาชนทั่วไป รวมทั้งนักวิชาการ
    - การจัดเวทีสาธารณะรับฟังความเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน เกี่ยวกับความตกลงต่างๆ แต่ละความตกลง 7 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2552
    - กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออก ให้บริการตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ FTA ณศูนย์ One Stop Services กรมส่งเสริมการส่งออก ถนนรัชดาภิเษก
    - การจัดสัมนา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังข้อคิดเห็นอย่างสมํ่าเสมอโดยตั้งแต่ ต.ค. 2550 – 2552 ได้จัดสัมมนารวม 79 ครั้ง

กระทรวงพาณิชย์เท่านั้นที่ไปเจรจา หรือได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ้างหรือไม่

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนการเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสในการจัดทำหนังสือสัญญาทั้งหมดที่นำเสนอ มีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนราชการต่างๆ จึงได้ประสานให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการเจรจาจัดทำความตกลงด้วยตั้งแต่เริ่มแรก เช่น

ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าของอาเซียน ได้ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ความตกลงว่าด้วยการลงทุนของอาเซียน ได้ร่วมกับกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

ความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนกับคู่เจรจา ได้ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในแต่ละหัวข้อเจรจา เช่น

     - การลดภาษีสินค้า ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม

     - พิธีการศุลกากรและถิ่นกำเนิดสินค้า ร่วมกับกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

     - มาตรฐานสินค้าและมาตรการสุขอนามัย ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรฯ เป็นต้น

การใช้ประโยชน์จาก FTA ด้านการลงทุน มีเพียงใด

จากสถิติ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีการขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากFTA โดยตรงเพียง1 ราย ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ในธุรกิจบริการติดตั้งแผ่นเหล็กกล้าที่ใช้ในการมุงหลังคาและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ทําด้วยเหล็กกล้า โดยมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท เมื่อปี2549 การที่มีการขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากFTA โดยตรงไม่มากนัก เนื่องจากไทยไม่ได้ให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนภายใต้FTA เกินกว่าที่กฎหมายปัจจุบั นกําหนดไว้ อย่างไรก็ตาม นอกจากสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจากBOI แล้ว การจั ดทําความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการลงทุนจากต่างประเทศได้

ประเทศ มูลค่าการลงทุน (ล้านบาท)
ก่อนทำ FTA 2547 2548 2549 2550 2551 2552
ออสเตรเลีย  2547 4,987.8 - 1,209.7 513.7 1,557.4 3,195 676
นิวซีแลนด์ 2547 108.0 - - 80 42.7 875 -
จีน 2546 1,389.6 4,432.5 2,285.6 2,455.7 15,855.9 3,474 7,009
อินเดีย 2546 3,519.3 1,615.2 1,105.9 2,670.6 7,398.3 9,592 3,680
ญี่ปุ่น 2550 164,323 - - - - 106,155 58,905
อาเซียน 2535 11,118.2 29,826 35,573 23,031 50,087 50,407 18,227


ที่มา มูลค่าการลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติ : สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

หลังจากการจัดทำ FTA กับประเทศต่างๆ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน อินเดีย ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้) ทำให้การค้าระหว่างไทย กับประเทศดังกล่าวขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก

หลังจากที่ไทยได้จัดทำ FTA กับประเทศต่างๆ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน อินเดีย ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้) ทำให้การค้าระหว่างไทย กับประเทศดังกล่าวขยายตัว เพิ่มมากขึ้น สำหรับในปี 2552 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่สัญญา FTA กับ 6 ประเทศ มีมูลค่ารวม 100,321.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2549 15.0% และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับทุกประเทศ ยกเว้นจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ไทย-ออสเตรเลีย

ในปี 2552 การค้าระหว่างไทยและออสเตรเลียมีมูลค่า 12,366..6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 5.9% จากปี 2551 โดยไทยส่งออกเป็นมูลค่า 8,579.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 7.5% นำเข้าเป็นมูลค่า 3,787.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 26.7% ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลมูลค่า 4,791.7 ล้านเหรียญ

สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เม็ดพลาสติก เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง

สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้า ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ น้ำมันดิบ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ถ่านหิน พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เคมีภัณฑ์ ด้ายและเส้นใย เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เป็นต้น

ไทย-นิวซีแลนด์

ในปี 2552 การค้าระหว่างไทยและนิวซีแลนด์มีมูลค่า 853.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 38.9 จากปี 2551 โดยไทยส่งออกเป็นมูลค่า 541.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 27.1% นําเข้าเป็นมูลค่า 311.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯฯ ลดลง52.3% ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลมูลค่า 230.5 ล้านเหรียญ

สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก ได้แก่รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ เครื่องสําอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ผลิตภัณฑ์ยาง คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และสว่นประกอบและข้าว

สินค้าสำคัญที่ไทยนําเข้า ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์นม อาหารปรุงแต่งสำหรับใช้เลี้ยงทารก ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้เคมีภัณฑ์ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบสัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็งแปรรูป สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ด้ายและเส้นใยเป็นต้น

ไทย-อินเดีย

ในปี 2552 การค้าระหว่างไทยและอินเดียมีมูลค่า 4,951.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 17.1% จากปี 2551 โดยไทยส่งออก เป็นมูลค่า 3,223.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 3.6% นําเข้าเป็นมูลค่า 1,727.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 34.3% ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลมูลค่า 1,496.2 ล้านเหรียญ

สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ  น้ำตาลทราย อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ 

สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้า ได้แก่ เครื่องเพชรพลอยอัญมณี เงินแท่งและทองคำ เคมีภัณฑ์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม  ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูป เป็นต้น

ไทย-จีน

ในปี 2552 การค้าระหว่างไทยและจีนมีมูลค่า 33,152.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯลดลง 8.8% จากปี 2551 โดยไทยส่งออกเป็นมูลค่า 16,121.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 0.4% นําเข้าเป็นมุลค่า 17,029.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯฯ ลดลง 15.5% ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลมูลค่า 905.1 ล้านเหรียญ

สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ และส่วนประกอบ  ยางพารา เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า น้ำมันสำเร็จรูป ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น

สินค้าสำคัญที่ไทยนําเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ผ้าผืน ผลิตภัณฑ์โลหะ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่น ๆเศษโลหะและผลิตภัณฑ์เป็นต้น

ไทย – ญี่ป่น

ในปี 2552 การค้าระหว่างไทยและออสเตรเลียมีมูลค่า 40,755.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 24.0% จากปี 2551 โดยไทยส่งออกเป็นมูลค่า 15,732.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 21.7% นําเข้าเป็นมูลค่า 25,023.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯฯ ลดลง 25.4% ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลมูลค่า 9,291.6 ล้านเหรียญ

สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก  ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ไก่แปรรูป รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ยางพารา ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ เลนซ์และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม

สินค้าสำคัญที่ไทยนําเข้า ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์เคมีภัณฑ์ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ สินแร่ โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทําจากพลาสติก และผลิตภัณฑ์โลหะ เป็นต้น

ไทย – เกาหลี

ในปี 2552 การค้าระหว่างไทยและเกาหลีใต้มีมูลค่า 8,241.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 21.7 จากปี 2551 โดยไทยส่งออกเป็นมูลค่า 2,818.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 23.2% นําเข้าเป็นมูลค่า 5,422.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 21.0% ไทยเป็นฝ่ายขาดุลมูลค่า 2,604.0 ล้านเหรียญ

สินค้าสำคันที่ไทยส่งออก ได้แก่แผงวงจรไฟฟ้ายางพารา เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันดิบ ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง

สินค้าสำคัญที่ไทยนําเข้า ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ในบ้าน แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องเพชรพลอยอัญมณี เงินแท่งและทองคำ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูป เป็นต้น

สินค้าที่ได้ประโยชน์/ผลกระทบ จาก FTA มีอะไรบ้าง
 ประเทศ   สินค้าที่ได้ประโยชน์  สินค้าที่ได้รับผลกระทบ
อาเซียน

สินค้าอุตสาหกรรม
รถยนต์ รถปิกอัพ ตัวถังรถยนต์ ส่วนประกอบรถยนต์ ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์
เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น แชมพู

สินค้าเกษตร
ข้าวโพด ผลไม้สด (ทุเรียน ลำไย ฝรั่ง มะม่วง มังคุด) น้ำตาลทราย เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ แป้งมันสำปะหลัง อาหารปรุงแต่ง

สินค้าอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมยาสำเร็จรูป (HS 3003 และ 3004) 

สินค้าเกษตร
ข้าว ปาล์น้ำมัน เมล็ดกาแฟ ไหมดิบ มะพร้าวผล เนื้อมะพร้าวแห้งชา ข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ สมุนไพร

ออสเตร เลีย

นิวซีแลนด์

สินค้าอุตสาหกรรม
รถปิกอัพ (เครื่องยนต์ดีเซล) รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ

สินค้าเกษตร
ปลาทูนากระป๋อง สับปะรดกระป๋อง ข้าว ข้าวโพดหวาน

โคเนื้อ-โคนม สุกร(เครื่องใน)
(เริ่มทะยอยลดภาษีแล้ว) 
จีน

สินค้าอุตสาหกรรม
ยางผสมอื่นๆ กรดเทเรฟทาลิกโพลิคาร์บอเนต พารา ไซลีน ฟีนอลและเกลือฟีนอล

สินค้าเกษตร
มันสำปะหลัง ผลไม้สด (ทุเรียน ลำไย) ผลไม้แห้ง

สินค้าอุตสาหกรรม
สิ่งทอเครื่องหนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า ปากกา ดินสอ

สินค้าเกษตร
ผัก เช่น แคร์รอท กะหล่ำดอกและบรอกโคลี เห็ด เป็นต้น ผลไม้ ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ส้ม และได้รับผลกระทบทางอ้อม 
(จากผลไม้เมืองหนาวที่นำเข้าจากจีนมาก ซึ่งเป็นสินค้าบริโภคทดแทนผลไม้ไทย เช่น แพร์ องุ่น แอปเปิ้ล สาลี่) ปลาน้ำจืด ชา

อินเดีย สินค้าอุตสาหกรรม
อะลูมิเนียมเจือ เครื่องปรับอากาศเครื่องรับโทรทัศน์สี ตู้เย็น เม็ดพลาสติก เครื่องประดับเพชรพลอยทำด้วยโลหะมีค่า เครื่องจักรอุตสาหกรรมการเกษตร ส่วนประกอบรถยนต์
กระปุกเกียร์ของยานยนต์ขนาดใหญ่ และของทำด้วยเหล็ก
ญี่ปุ่น

สินค้าอุตสาหกรรม
แหนบรถยนต์ สปริงและแผ่นที่ใช้เป็นสปริง เม็ดพลาสติก สิ่งทอ อัญมณี

สินค้าเกษตร
เนื้อไก่ปรุงแต่ง กุ้งปรุงแต่ง กุ้งแช่เข็ง

เหล็ก ชิ้นส่วนยานยนต์

การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่ทำ FTA กับไทย

ประเทศ ก่อนทำ FTA มูลค่าส่งออกหลังทำ FTA (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
ปี มูลค่าส่งออก 2548 2549 2550 2551 2552
(มค-กย)

 ออสเตรเลีย

 - ขอใช้สิทธิ FTA
 - (สัดส่วน) 

2547 2,467.7 3,174.6
2,121.6
(66.8 %)
4,349.6
2,745.7
(63.1%)
5,937.4
4,066.7
(68.5%)
7,982.5
4,915.2
(61.6%)
6,132.8
2,921.7
(47.6%)
 นิวซีแลนด์ 2547 329.9 521.3 525.7 639.6 742.7 227.7

 จีน

 - ขอใช้สิทธิ FTA
 - (สัดส่วน) 

2546 5,688.9 9,167.6
613.7
(6.7%)
11,727.9
1,450.3
(12.4%)
14,846.8
1,7639.4
(11.9%)
16,190.8
1,777.4
(11.0%)
11,109.3
2,777.2
(25.0%)

 อินเดีย (82 รายการ)

 - ขอใช้สิทธิ FTA
 - (สัดส่วน) 

2546 65.0 340.7
266.7
(79.1%)
364.3
328.1
(89.7%)
359.8
398.7
(~100.0%)
485.5
450.3
(92.7%)
361.0
265.6
(73.6%)

 ญี่ปุ่น

 - ขอใช้สิทธิ FTA
 - (สัดส่วน) 

2550 18,119.1 - - 3,227.9
(พย.-ธค.)
641.5
(พย.-ธค.)
(19.9%)
20,090.3
5,509.1
(27.4%)
11,245.4
3,630.3
(32.3%)

 AFTA

 - ขอใช้สิทธิ FTA
 - (สัดส่วน) 

2535 4,490.2 24,390.4
5,145.6
(21.1%)
27,021.7
5,508.8
(20.4%)
32,791.1
7,864.7
(24.2%)
40,151.3
11,048.7
(27.5%)
32,491.1
9,889.3
(30.4%)


ที่มา :  สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร  / กรมการค้าต่างประเทศ

หมายเหุต ข้อมูลญี่ปุ่น : FTA ไทย-ญี่ปุ่น มีผล 1 พ.ย.2550 ทําให้ข้อมูลการส่งออก /ขอใช้สิทธิ มีเพียง เดือน พ.ย.-ธ.ค. เท่านั้น 

AFTA เป็นข้อมูลปี 2552 (มค.-ธค.)

FAQs WTO
สถานะล่าสุดของการเจรจารอบปัจจุบัน (รอบโดฮา) เป็นอย่างไร

 (1) ความเป็นมา

 องค์การการค้าโลก (World Trade Organization:WTO) เป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีพัฒนาการมาจากการทําความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้าหรือแกตต์(General Agreement onTariffs and Trade:GATT) เมื่อปีพ.ศ.2490 แต่ไม่มีสถานะเป็นสถาบันจนกระทั่งประเทศสมาชิกได้เปิดการเจรจาการค้ารอบอุรุกวัย (พ.ศ. 2529) และผลการเจรจาส่วนหนนึ่ง คือการก่อตั้ง WTO ขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 มีสมาชิกเริ่มแรก 81 ประเทศ รวมทั้งไทย สํานักเลขาธิการของ WTO ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีนายปาสกาล ลามี ดํารงตําแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของ WTO ปัจจุบนั ณ เดือน กุมภาพันธ์ 2553 WTO มีสมาชิกทั้งสิ้น 153 ประเทศ

 (2) สถานะล่าสุดของการเจรจารอบโดฮา

     - การเจรจาในกรอบ WTO ปัจจุบัน เรียกว่าการเจรจารอบโดฮาเริ่มขึ้นในการประชุมระดับรัฐมนตรี ขององค์การการค้าโลก หรือ WTO Ministerial Conference (MC) ครั้งที่ 4 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ มีเรื่องสําคัญที่สมาชิกต้องเจรจากัน 8 เรื่องได้แก่ เรื่องสินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม บริการการค้าและสิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญา การปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางการค้า การปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาท และการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติตามพันธกรณีรอบอุรุกวัย และมีกําหนดให้เจรจาให้เสร็จภายใน 3 ปีคือภายในวันที่ 1 มกราคม 2548 แต่การเจรจากลับยืดเยื้อ เพราะมีความขัดแย้งในหลายประเด็น

     - ต่อมา ที่ประชมุ MC ครั้งที่ 6 ที่ฮ่องกง เดือนธันวาคม 2548 ได้ต่อระยะเวลาการเจรจาออกไปเนื่องจากสมาชิกก็ไม่สามารถตกลงกันได้หลายประเด็น ที่สําคัญ คือ เรื่องการเปิดตลาดสินค้าเกษตร การลดการอุดหนุน นภายในสินค้าเกษตร และการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งในที่สุดการเจรจารอบโดฮา
ต้องชะงักงันไประยะหนึ่ง

     - ความคืบหน้าในการเจรจา อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะกฤตเศรษฐกิจการเงินของโลกในปี 2551 ผู้อำนวยการใหญ่ WTO (นายปาสกาล ลามี) และประเทศสมาชิกต่างมุ่งมั่นที่จะปิดการเจรจารอบโดฮา จึงได้จัดการประชุมระดับรัฐมนตรี WTO อย่างไม่เป็นทางการ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2551 ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อหาข้อสรุปในประเด็นสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม และการประชุม Signaling Conference เพื่อหยั่งท่าทีการเปิดตลาดการค้าบริการ โดยมีสมาชิกสําคัญๆ ราว 30 ประเทศเข้าร่วมประชุม แม้ว่าการประชุม Signaling Conference ได้ผลดีในระระดับหนึ่ง แต่การเจรจาเปิดตลาดสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมกลับไม่ประสบความสำเร็จเร็จ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ในเรื่องการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard Mechanism – SSM) สําหรับสินค้าเกษตร

     - ในช่วงปี 2552 มีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะผลักดันการเจรจารอบโดฮา นอกจากอินเดียได้จัดการประชุมรัฐมนตรี WTO อย่างไม่เป็นทางการเมื่อเดือนกันยายน 2552 แล้ว ยังมี Political Will ของผู้นําจากเวทีการประชุมระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ การประชุม G20 ที่เมืองพิตส์เบิร์ก แสดงเจตจํานงค์ให้การเจรจารอบโดฮามีข้อสรุปภายในปี 2553 แต่ประเทศสมาชิกก็ยังคงมีท่าทีที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะในประเด็นหลัก คือการเจรจาสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม การเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่เทคนิคและเจ้าหน้าที่อาวุโสจึงยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ท่าทีประเทศสมาชิกสําคัญต่างๆอาทิสหรัฐฯ สหภาพฯอินเดียเป็นต้น ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือประนีประนอมมากขึ้น

     - ในการประชุมรัฐมนตรี WTO MC ครั้งที่ 7 เมื่อเดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ณ นครเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศสมาชิก WTO ส่วนใหญ่ ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมเต็มคณะว่า จะสนับสนุนการเจรจารอบโดฮาให้แล้วเสร็จในปี 2553 โดยเชื่อว่าการเจรจารอบโดฮาที่จะช่วยบรรเทาและเยียวยาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศกําลังพัฒนา

 (3) บทบาทของไทยในการเจรจา

ประเทศไทยให้ความสําคัยต่อการเจรจารอบโดฮามาโดยตลอดและเชื่อมั่นว่า ผลการเจรจารอบโดฮาจะส่งผลทำให้มีการเปิดตลาดอย่างมากสําหรับสินค้าเกษตร ประมง และสินค้าอุตสาหกรรม โดยจะพยายามให้มีข้อยกเว้นในการเปิดตลาดได้บ้างเท่าที่จําเป็น และต้องมีผลกระทบต่อสินค้าส่งออกสําคัญของไทยน้อยท่ี่สุด นอกจากนี้จะให้ปัจจัยที่ทําให้เกิดการบิดเบือนทางการค้าลดลงให้มากที่สุด และให้มีกฎระเบียบทางการค้าที่มีความเป็นธรรม เอื้อประโยชน์แก่ประเทศมากที่สุด

หากการเจรจารอบโดฮาสำเร็จ และมีผลบังคับใช้ไทยคาดว่าจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง

ความสำคัญของการเจรจาต่อประเทศไทย

หากการเจรจาสามารถได้ข้อยุติได้โดยเร็ว ผลประโยชน์สําคัญที่ไทยจะได้รับ คือ

     - โอกาสการเปิดตลาดจะมีมากขึ้น เนื่องจากอัตราภาษีนําเข้าจะลดลง โดยเฉพาะในสินค้าสําคัญๆ ของประเทศคู่ค้าหลักทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร เนื่องจากในปัจจุบันอัตราภาษีนําเข้ายังอยู่ในอัตราที่สูง เช่น สหรัฐฯ สินค้ารองเท้า 60% สิ่งทอ 30% อาหารทะเลกระป๋อง 20 %  ญ่ีปุ่น สินค้าข้าว 1,000 %  คานาดา เนื้อไก่ 150 %  เกาหลี มันสำปะหลัง 887 % ไต้หวัน น้ำตาล 143 % เป็นต้น ดังนั้น หากภาษีนําเข้าลดลง โอกาสในการขยายตลาดสินค้าของไทยในตลาดหลักจะมีมากขึ้นอย่างชัดเจนนอกจากนี้จะทําให้ไทยมีโอกาสเปิดตลาดใหม่ โดยเฉพาะประเทศกําลังพัฒนาในกลุ่มอัฟริกา ลาติน อเมริกา และเอเซีย เนื่องจากประเทศกําลังพัฒนาในกลุ่มเหล่านี้ยังมีอัตราภาษีเฉลี่ยในระดับที่สูงมากโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ สินค้าอิเลคโทรนิกส์ สิ่งทอ เครื่องประดับ เป็นต้น

     - ด้านการแข่งทางการค้าจะมีความเป็นธรรม เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนทางการค้า จะลดลง หรือ หมดไป  โดยเฉพาะการอุดหนุนการผลิตสินคาภายใน และการสนับสนุนการส่งออกของสินค้า เกษตรซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสําคัญของไทย (มูลค่าส่งออกกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งในปัจจุบันประเทศใหญ่ๆได้ให้การอุกหนุนอยู่มากโดยเฉพาะสินค้า ข้าว น้ำตาล ไก่ เช่น

          - การอุดหนุนภายใน : ข้าวสหภาพฯ 556 ล้านยูโร สหรัฐฯ 607 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ น้ำตาล : สหภาพฯ 5,800 ล้านยูโร สหรัฐฯ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

          -  การสนับสนุนการส่งออกข้าวสหภาพฯ 30 ล้านยูโร สหรัฐฯ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ น้ำตาล : สหภาพฯ 400 ล้านยูโร ไก่ : สหภาพ และ สหรัฐฯ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

          ทั้งนี้การอุดหนุนภายใน และ การสนับสนุนการส่งออก เป็นการก่อให้เกิดการบิดเบือนทาง การค้า อันส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีมาก และก่อให้เกิดภาวะราคาสินค้าเกษตรใน ตลาดโลกตกตํ่า ผลคือ สินค้าเกษตรของไทยจะไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ อย่างที่ควร

     - โอกาสที่คนไทยจะสามารถเดินทางไปทํางานหรือ ดำเนินธรุกิจในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น บริการด้านสุขภาพ ความงาม สปาร้านอาหารและโรงแรม เป็นต้น

       จากผลการศึกษาขององค์กรวิชาการในสหรัฐฯ ประเมินว่า หากการเจรจารอบโดฮาสําเร็จจะทําให้ การส่งออกโลกเพิ่มขึ้น 180-520 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีและ GDP เพิ่มขึ้น 300-700 พันล้านเหรียญ สหรัฐ ต่อปี อันจะช่วยลดช่องว่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและกําลงพัฒนาลง และช่วยบรรเทาวิกฤติ เศรษฐกิจที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ด้วย

การค้าและสิ่งแวดล้อมภายใต้ WTO มีประโยชน์อย่างไร

ปัจจุบัน ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศพัฒนาแล้วได้พยายามนำเรื่องสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอีกประการหนึ่ง ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญมากขึ้นในหลายๆ ด้านรวมไปถึงการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าด้วย จึงส่งผลให้สิ่งแวดล้อมมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ทั้งในการผลิตและการค้าสินค้า WTO เองก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยได้มีประเด็นการเจรจาอยู่ 3 เรื่องคือ

  1. ความสัมพันธ์ระหว่างกฎเกณฑ์ WTO กับมาตรการการค้าภายใต้ความตกลงสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
  2. กระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างฝ่ายเลขาธิการของความตกลงพหุภาคีเรื่องสิ่งแวดล้อมต่างๆ (Multilateral Environmental Agreements : MEAs) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมของ WTO และหลักเกณฑ์ในการให้สถานะผู้สังเกตการณ์แก่ MEAs
  3. ลดหรือยกเลิกมาตรการภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้เป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากสามารถเห็นผลในเชิงรูปธรรมได้ชัดเจน ที่ผ่านมา ในการเจรจาเรื่องสิ่งแวดล้อมภายใต้ WTO ประเทศสมาชิกมีความต้องการที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องในการให้คำจำกัดความของสินค้า

สิ่งแวดล้อมหรือวิธีการลดภาษีประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหภาพยุโรปได้พยายามผลักดันให้มีการเจรจาเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมไปพร้อมกับขยายการค้า และให้มีการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันในการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลก ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนามีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน เช่น ยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมและยังไม่มีกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด อีกทั้งยังเกรงว่าประเทศพัฒนาแล้ว อาจใช้เรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้า จึงทำให้การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้จนถึงปัจจุบันนี้ และยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการเจรจากันต่อไป

ลำดับขั้นการฟ้องร้องคดีใน WTO เป็นอย่างไร

กลไกระงับข้อพิพาทของ WTO (DSU) เปรียบเสมือนศาลการค้าระหว่างประเทศ ทําหน้าที่พิจารณาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสมาชิก WTO  และมีบทลงโทษกรณีภาคีที่ถูกตัดสินว่าทําผิด กฎเกณฑ์ของ WTO และไม่ยอมปฏิบัติ ตามคําตัดสิน กลไกระงับข้อพิพาทของ WTO ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายจากประเทศสมาชิก เห็นได้จากจํานวนกรณีพิพาทที่ได้มีการนําเข้าสู่่กระบวนการดังกล่าวกว่า 400 คดี นับตั้งแต่ ก่อตั้ง WTO ในปี 2538 จนถึงปัจจุบัน

ผู้้ที่สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องใน WTO ได้ จะต้องเป็นรัฐบาลของประเทศสมาชิกเท่านั้นโดยประเทศสมาชิกที่เห็นว่าตนเสียประโยชน์เพราะประเทศสมาชิกอื่นไม่ยอมปฏิบัติตามความตกลง WTO ก็สามารถขอหารือกับสมาชิกที่ทําให้ตนเสียหายได้  และหากไม่สามารถตกลงกันได้ ประเทศที่ได้รับความเสียหายก็สามารถขอตั้งคณะผู้้พิจารณาซึ่งทําหน้าที่เหมือนศาล เพื่อให้ตัดสินคดีได้  โดยที่การฟ้องร้องของ WTO มี 2 ลําดับขั้น  คือ การฟ้องคดีต่อคณะผู้้พิจารณา (Panel) ซึ่งเปรียบเสมือนศาลการค้าของโลก และองค์กรอุทธรณ์ (Appellate  Body) ซึ่งเปรียบเสมือนศาลสูง  คณะผู้้พิจารณาจะทําหน้าที่พิจารณาและตัดสินคดี หากประเทศคู่่กรณีไม่อุทธรณ์คําตัดสินของคณะผู้้พิจารณา  สมาชิก WTO ก็จะรับรองคําตัดสินดังกล่าวและถือว่าคําตัดสินนั้นเป็นที่สุดและมีผลผูกพันคู่กรณี เว้นแต่ สมาชิกทั้งหมด 153 ประเทศ มีมติเอกฉันท์ไม่รับรองคําตัดสิน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากมาก

หากประเทศคู่กรณีไม่เห็นด้วยกับคําตัดสินของคณะผู้้พิจารณา ก็สามารถอุทธรณ์ต่อองค์กรอุทธรณ์ได้  และประเทศที่แพ้คดีจะต้องยกเลิกการกระทําที่ถูกตัดสินว่าขัดกับความตกลง WTO ทันทีหรือภายในระยะเวลาที่กําหนด

คดีสำคัญที่ไทยฟ้องชนะใน WTO มีอะไรบ้าง

การต่อสู้กับประเทศใหญ่ในกรณีที่ประเทศเหล่านั้นมีการใช้มาตรการที่บิดเบือนการค้า ซึ่งไทยได้รับประโยชน์ และชนะคดีที่ประเทศอื่นๆ กีดกันการค้าในหลายกรณี เช่น กรณีพิพาทไก่หมักเกลือ ไทยได้ร่วมกับบราซิล ยื่นฟ้องสหภาพฯต่อ WTO กรณีที่สหภาพฯเปลี่ยนประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าไก่หมักเกลือเป็นสินค้าไก่แช่แข็ง ทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องเสียภาษีเพิ่มมากขึ้นจากเดิมร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 53 รวมภาษีที่ต้องเสียเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3,500 ล้านบาท ซึ่งองค์กรอุทธรณ์ของ WTO ได้ตัดสินให้ไทยชนะคดี ทำให้สหภาพฯต้องลดภาษีนำเข้าไก่หมักเกลือลงมาที่อัตราเดิม

กรณีพิพาท C-Bond และ Zeroing ไทยได้ดำเนินการฟ้องร้องสหรัฐอเมริกา กรณีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเงินประกันภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากุ้งแช่แข็งจากไทย หรือ C-bond และใช้มาตรการ Zeroing เพื่อคำนวณส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด เป็นการกีดกันทางการค้าและขัดกับกฎเกณฑ์ของ WTO โดยผู้ส่งออกกุ้งแช่แข็งของไทยกว่าครึ่งหยุดการส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกสินค้ากุ้งแช่แข็งของไทยต้องวางประกันสูงขึ้นกว่าเดิมประมาณปีละ 1,370 ล้านบาท มาตรการดังกล่าวจึงสร้างภาระให้ผู้ส่งออกไทยเป็นอย่างมาก และองค์กรอุทธรณ์ได้ตัดสินให้ไทยชนะคดีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2551

กรณีพิพาทน้ำตาล ไทยร่วมกับบราซิลและออสเตรเลียฟ้องสหภาพยุโรปต่อ WTO ว่าสหภาพยุโรปให้การอุดหนุนส่งออกน้ำตาลเกินกว่าที่ WTO อนุญาตถึง 3.5 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการอุดหนุนส่งออกสูงกว่าที่ผูกพันไว้ประมาณ 32,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในปี 2545 ไทยได้รับความเสียหายจากการอุดหนุนส่งออกน้ำตาลของสหภาพยุโรปเป็นเงินประมาณ 6,500 ล้านบาท องค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO ได้ตัดสินให้ฝ่ายไทยชนะคดีดังกล่าว ส่งผลให้สหภาพยุโรป ต้องลดการอุดหนุนส่งออกน้ำตาลลงเหลือไม่เกินปีละ 1.27 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการอุดหนุนส่งออกไม่เปิด 499 ล้านยูโรต่อปี ตามที่ได้ผูกพันไว้ใน WTO ทำให้ไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกสามารถส่งออกน้ำตาลได้ในปริมาณและราคาที่สูงขึ้น

มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ภายใต้ WTO มีประโยชน์อย่างไร

กรณีที่ผู้ส่งออกสินค้าส่งสินค้าออกไปขายในต่างประเทศ (Export Price) ในราคาที่ตํ่ากว่าราคาที่ขายภายในประเทศของตน (Normal Value) หรือที่เรียกว่า การทุ่่มตลาด ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และมีผลให้อุตสาหกรรมภายในของประเทศผู้้นําเข้าได้รับความเสียหาย และก่อให้เกิดผลกระทบต่ อระบบเศรษฐกิจและการค้าของประเทศคู่แข่งขัน

ดังนั้น WTO จึงอนุญาตให้ประเทศผู้้นําเข้าที่ถูกทุ่่มตลาดสามารถเก็บภาษีเพื่อตอบโต้การทุ่่มตลาดได้ แต่จะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกาที่WTO กําหนดไว้เท่านั้น และไม่สามารถเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาดตามอําเภอใจได้ โดยผู้้ประกอบการของประเทศผู้้นําเข้า สามารถยื่นคําร้องขอต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ไต่สวนว่าสินค้าที่นําเข้ามีการทุ่่มตลาดหรือไม่ โดยประเทศผู้้นําเข้าจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า

  1. มีการทุ่่มตลาดในสินค้าที่ถูกยื่นขอให้ไต่สวนจริง
  2. มีความเสียหายเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศผู้้นําเข้า
  3. ความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากการทุ่่มตลาด

ทั้งนี้ ประเทศที่เรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาดจะเรียกเก็บได้ไม่เกิน 5 ปี และผู้้มีส่วนได้เสีย ได้แก่  ผู้้ส่งออกหรือผู้้นําเข้าซึ่งอยู่่ภายใต้การไต่สวน รัฐบาลประเทศของผู้้ส่งออก หรือผู้้ผลิตสินค้าที่เหมือนกันหรือประเภทเดียวกันของประเทศผู้้นําเข้า สามารถยื่นขอทบทวนเพื่อ ติการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาด หรือลด หรือเพิ่มภาษีอากรตอบโต้การทุ่่มตลาดที่เรียกเก็บได้ แต่จะต้องมีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนด้วย

คำถามที่พบบ่อย
FTA
มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินผลได้-ผลเสีย ในการทำ FTA หรือไม่

ในการเจรจา FTA ได้มีการดําเนินการด้วยความโปร่งใสและรอบคอบ โดยมีการศึกษาล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งก่อนและหลังการเจรจาก่อนการเจรจา  ได้จัดจ้างสถาบันการศึกษาและนักวิชาการ ศึกษา วิเคราะห์เบื้องต้นถึงความเป็นไปได้และประเมินผลดี ผลเสียในการจัดทํา FTA กั บประเทศต่าง ๆ กว่า 60 โครงการ รวมทั้งร่วมศึกษากับบางประเทศที่แสดงความสนใจอยากทําFTA กับไทย เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี เป็นต้น ซึ่งหากกลุ่มประเทศ/ประเทศใดในภาพรวมได้ประโยชน์มากกว่าผลกระทบก็เจรจาต่อไประหว่างการเจรจา  ได้มีการประชุมหารือกับภาคเอกชนรวมทั้งศึกษาวิเคราะห์เพิ่มเติมและประเมินผลเป็นระยะ ๆ  ควบคู่กันไป  หากมีประเด็นต้องแก้ไขก็จะศึกษาทบทวนหลังการเจรจา  ติดตามและประเมินผลภายหลังความตกลงมีผลบังคับใช้ รวมถึงแนวทางการขยายประโยชน์จากการทํา FTA

การทำ FTA รัฐบาลให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกภาคส่วนหรือไม่อย่างไร

ในการเจรจาจัดทําFTA  รัฐบาลได้ดําเนินการด้วยความโปร่งใส  ยึดหลั กการมีส่วนร่วมกับทุกฝ่ายโดยได้มีการสร้างความรู้ความเข้าใจและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนทั้งกลุ่มที่มีส่วนได้เสีย และกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบจากการทําFTA ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  มีส่วนร่วมในการให้ข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับการเจรจา โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ  กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการ ดังนี้

การสร้างความรู้ความเข้าใจ

  1. จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการเจรจาต่อกลุ่่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง(SMEs)  เกษตรกร  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
  2. เผยแพร่ข้อมูลผลการเจรจา FTA อย่างกว้างขวางผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
  3. จัดตั้ง Call Center เพื่อตอบข้อซักถามทางโทรศัพท์ที่ หมายเลข 02-507-7555 และร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกในการให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ FTA  ณ ศูนย์ One Stop Service กรมส่งเสริมการส่งออก ถนนรัชดาภิเษก
การมี FTA จะทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากภาษีศุลกากรลดลง

แม้ว่าการทําความตกลงการค้าเสรี(FTA) จะมีการเปิดตลาดโดยการลดภาษีนําเข้าระหว่างประเทศภาคี และมีข้อกังวลใจว่าFTA จะทําให้ประเทศไทยมีรายได้จากการเก็บภาษีศุลกากรลดลง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเมื่อหักล้างกับการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศภาคีแล้ว ในที่สุดรัฐจะมีรายได้จากการเก็บภาษีต่างๆ ในประเทศลดลง เนื่องจากรายได้หลักของรัฐบาลมาจากการจัดเก็บภาษีโดย
กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ซึ่งในปีงบประมาณ2552 สัดส่ วนต่อรายได้รัฐทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ75.4,  19.3  และ5.3 ตามลําดั บ  ดังนั้น การลดภาษีศุลกากรภายใต้FTA อาจมีผลต่อรายได้โดยรวมของรัฐไม่มากนัก ทั้งนี้  FTA จะช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศภาคี เมื่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น ผู้้ประกอบการมีรายได้มากขึ้น การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นและมีการจ้างงานมากขึ้น รัฐอาจจัดเก็บภาษีชนิดอื่นๆ ได้เพิ่มขึ้น ที่สําคัญมีดังนี้

  1. ภาษีทางตรง เมื่อผู้้ประกอบการมีรายได้มากขึ้น หรือมีการจ้างงานมากขึ้น รัฐย่อมเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลได้มากขึ้น ทั้งนี้รวมถึงการจัดเก็บภาษีจากแรงงานหรือผู้้ประกอบการต่างชาติ ที่เข้ามาทํางานหรือเข้ามาลงทุนและมีรายได้ในประเทศไทย
  2. ภาษีทางอ้อม
     2.1 ภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) เมื่อมีการนําเข้าสินค้า หรือเมื่อมีการบริโภคสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
    ในประเทศ รัฐย่อมสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มขึ้น
     2.2 ภาษีธุรกิจเฉพาะ รัฐอาจจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะกับผู้้ประกอบธุรกิจบางประเภทที่กฎหมาย
    กําหนดได้เพิ่มขึ้น เช่น
     - เมื่อมีการขายห้องชุ ดหรือที่ดินให้แก่ผู้้ประกอบการเพิ่มขึ้น
     - เมื่อธนาคารให้สินเชื่อแก่ผู้้ประกอบการเพื่อใช้ลงทุนในกิจการเพิ่มขึ้น เป็นต้น

การใช้ประโยชน์จาก FTA ด้านการลงทุน มีเพียงใด

จากสถิติ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีการขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากFTA โดยตรงเพียง1 ราย ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ในธุรกิจบริการติดตั้งแผ่นเหล็กกล้าที่ใช้ในการ
มุงหลังคาและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ทําด้วยเหล็กกล้า โดยมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท เมื่อปี2549 การที่มีการขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากFTA โดยตรงไม่มากนัก เนื่องจากไทยไม่ได้ให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนภายใต้FTA เกินกว่าที่กฎหมายปัจจุบั นกําหนดไว้ อย่างไรก็ตาม นอกจากสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจากBOI แล้ว การจั ดทําความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการลงทุนจากต่างประเทศได้

 มูลค่าการลงทุน(ล้านบาท)

ประเทศ ก่อนทำ FTA 2547 2548 2549 2550 2551 2552
ออสเตรเลีย  2547 :    4,987.8 - 1,209.7 513.7 1,557.4 3,195.0  676.0
นิวซีแลนด์ 2547 :       108.0 - - 80.0 42.7 875.0 -
จีน 2546 :    1,389.6 4,432.5 2,285.6 2,455.7 15,855.9 3,474.0 7,009.0
อินเดีย   2546 :    3,519.3 1,615.2 1,105.9 2,670.6 7,398.3 9,592.0 3,680.0
ญี่ปุ่น 2550 : 164,323.0 - - - - 106,155.0 58,905.0
อาเซียน 2535 :   11,118.2 29,826.0 35,573.0 23,031.0 50,087.0 50,407.0 18,227.0

ที่มา :   มูลค่าการลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติ : สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

มีหลักเกณฑ์อะไรในการคัดเลือกประเทศที่จะทำ FTA

รัฐบาลได้เลือกประเทศที่จะทํา FTA โดยมีเหตุผลสําคัญ  เพื่อรักษาสถานภาพและศักยภาพในการส่งออกของไทยในการขยายโอกาสการส่งออก  และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้าไทยโดยมีหลั กเกณฑ์ในการเลือกประเทศที่ทํา FTA ดังนี้

  • เป็นตลาดการค้าดั้งเดิมของไทย เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ฯลฯ
  • ตลาดใหม่ ที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์  ฯลฯ
  • แหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพราคาตํ่า  เช่น จีน  อินเดีย ฯลฯ
  • ประเทศที่มีศักยภาพด้านการค้าและการลงทุน เช่น เปรู สมาคมการค้าเสรียุโรป (European Free Trade Association : EFTA) และเป็นประตู เชื่อมโยงการค้าและการลงทุ นไปสู่ประเทศในภูมิภาค
    ใกล้เคียง

ทำไมต้องทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ทำแล้วได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง

ปัจจุบันสถานการณ์การแข่งขันในตลาดโลกได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ไทยต้องพึ่งพิงการค้าระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ การส่งออกถือเป็นจักรกลสําคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2552 นํารายได้เข้าประเทศกว่า 5 ล้านล้านบาท  คิดเป็นครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมด การทํา FTA จึงมีผลสําคัญเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้

  • ช่วยรักษาตลาดเดิม  และขยายการค้าสู่ตลาดใหม่  เพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการของไทยที่มีศักยภาพ
  • ลดอุปสรรคด้านภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษีระหว่างกัน
  • ลดการพึ่งพาสิทธิพิเศษด้านภาษี (Generalized System of Preference :GSP)  ซึ่งมีความไม่แน่นอน
  • ดึงดูดต่างชาติให้ย้ายฐานการผลิตและการลงทุนมาไทยมากขึ้น  ขณะเดียวกันสนับสนุนคนไทยไปลงทุนต่างประเทศ
  • ผลักดันให้มีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่มีศักยภาพจากการที่ไทยยังต้องพึ่งการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งออก ไทยจึงต้องทํางานใน 2 ส่วนไปพร้อม ๆ กัน ส่วนแรกคือการเจาะตลาด/ส่งเสริมการส่งออก ส่วนที่ 2 คือ การทําให้อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดประเทศคู่ค้าลดน้อยลง ซึ่งการทําให้อุปสรรคลดน้อยลงนั้น ต้องทําผ่านการเจรจาในเวทีระดับต่าง ๆ
  • การเจรจาในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็น FTA ระดับโลกที่ GATT/WTO โดยสมาชิก 100 กว่าประเทศมาเจรจาพร้อมกันหมด
  • การเจรจาใน 10 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนมาเน้นการเจรจา FTA ในระดับภูมิภาค เช่น EUNAFTA ตามด้วยระหว่างภูมิภาค เช่น EU-Mercosur และ FTA ระหว่างประเทศ
  • ไทยต้องเจรจาเพื่อรักษา margin ในการแข่งขันของไทยไว้ไม่ให้สินค้าของไทยในตลาดคู่ค้าเสียเปรียบคู่แข่ง เพราะได้สิทธิพิเศษดีกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษี หรือมิใช่ภาษี(NTM : Non-tariff Measures)

ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) หมายถึงอะไร

ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) หมายถึง การรวมกลุ่มเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมาย เพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลุ่มลงให้เหลือน้อยที่่สุด หรือเป็น 0% และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม การทําความตกลงการค้าเสรีในอดีตมุ่งในด้านการเปิดเสรีด้านสินค้า (goods) โดยการลดภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีเป็นหลัก แต่ความตกลงการค้าเสรีในระยะหลังๆ นั้นรวมไปถึงการเปิดเสรีด้านบริการ (services) และการลงทุนด้วย

กระบวนการจัดทำหนังสือสัญญาเป็นไปโดยเปิดเผย โปรงใส และทั่วถึงหรือไม่อย่างไร

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ตั้งแต่เริ่มเจรจา โดยเปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็น โดยได้หารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน กลุ่มส่วนที่มีส่วนได้เสีย กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการเจรจา มีการดำเนินการในแนวทางต่างๆ ดังนี้

  • หน่วยงานรัฐ การประชุมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
  • ภาคการเมือง การชี้แจงข้อมูลสถานการณ์เจรจา และรับฟังข้อคิดเห็นจากคณะ กรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นระยะๆ
  • ภาคเอกชน
  • หารือกับผู้ผลิต ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมกว่า 30 สาขา
  •  การประชุมร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯและสภาหอการค้าฯเป็นประจำและต่อเนื่อง
  • ประชาชนทั่วไป รวมทั้งนักวิชาการ

  • การจัดเวทีสาธารณะรับฟังความเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน เกี่ยวกับความตกลงต่างๆแต่ละความตกลง 7 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2552

  • กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออก ให้บริการตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ FTA ณ ศูนย์ One Stop Services กรมส่งเสริมการส่งออก ถนนรัชดาภิเษก

  • การจัดสัมมนา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังข้อคิดเห็นอย่างสม ่าเสมอ โดยตั้งแต่ ต.ค. 2550 – 2552 ได้จัดสัมมนารวม 79 ครั้ง

  • การเปิดให้มีส่วนร่วมในวงกว้าง

  • จัดทำแบบสอบถามความเห็นเกี่ยวกับ FTA เพื่อรับฟังความเห็นของประชาชน ผ่านระบบอินเตอร์เนตของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
  • จัดตั้ง Call Center เพื่อให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์ รับเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลการเจรจาของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งเข้าร่วมศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน 1111 โดยผ่าน 4 ช่องทางของสำนักนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์สายด่วนรัฐบาล หมายเลข 1111,เว็บไซต์ www.1111. go.th ,ตู้ ป.ณ.1111 ไม่ต้องติดแสตมป์และจุดบริการประชาชน 1111
กระทรวงพาณิชย์เท่านั้นที่ไปเจรจา หรือได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ้างหรือไม่

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนการเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสในการจัดทำหนังสือสัญญาทั้งหมดที่นำเสนอ มีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนราชการต่างๆ จึงได้ประสานให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการเจรจาจัดทำความตกลงด้วยตั้งแต่เริ่มแรก เช่น

  • ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าของอาเซียน ได้ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
  • ความตกลงว่าด้วยการลงทุนของอาเซียน ได้ร่วมกับกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
  • ความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนกับคู่เจรจา ได้ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในแต่ละหัวข้อเจรจา เช่น
    • การลดภาษีสินค้า ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม
    • พิธีการศุลกากรและถิ่นกำเนิดสินค้า ร่วมกับกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
    • มาตรฐานสินค้าและมาตรการสุขอนามัย ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรฯ เป็นต้น

การค้าและสิ่งแวดล้อมภายใต้ WTO มีประโยชน์อย่างไร

ปัจจุบัน ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศพัฒนาแล้วได้พยายามนำเรื่องสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอีกประการหนึ่ง ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญมากขึ้นในหลายๆ ด้านรวมไปถึงการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าด้วย จึงส่งผลให้สิ่งแวดล้อมมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ทั้งในการผลิตและการค้าสินค้า WTO เองก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยได้มีประเด็นการเจรจาอยู่ 3 เรื่องคือ

  1. ความสัมพันธ์ระหว่างกฎเกณฑ์ WTO กับมาตรการการค้าภายใต้ความตกลงสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
  2. กระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างฝ่ายเลขาธิการของความตกลงพหุภาคีเรื่องสิ่งแวดล้อมต่างๆ (Multilateral Environmental Agreements : MEAs) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมของ WTOและหลักเกณฑ์ในการให้สถานะผู้สังเกตการณ์แก่ MEAs
  3. ลดหรือยกเลิกมาตรการภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้เป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากสามารถเห็นผลในเชิงรูปธรรมได้ชัดเจน ที่ผ่านมา ในการเจรจาเรื่องสิ่งแวดล้อมภายใต้WTO ประเทศสมาชิกมีความต้องการที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องในการให้คำจำกัดความของสินค้า

สิ่งแวดล้อมหรือวิธีการลดภาษีประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหภาพยุโรปได้พยายามผลักดันให้มีการเจรจาเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมไปพร้อมกับขยายการค้า และให้มีการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันในการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลก ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนามีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน เช่น ยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมและยังไม่มีกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด อีกทั้งยังเกรงว่าประเทศพัฒนาแล้ว อาจใช้เรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้า จึงทำให้การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้จนถึงปัจจุบันนี้ และยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการเจรจากันต่อไป

WTO
คดีสำคัญที่ไทยฟ้องชนะใน WTO มีอะไรบ้าง

การต่อสู้กับประเทศใหญ่ในกรณีที่ประเทศเหล่านั้นมีการใช้มาตรการที่บิดเบือนการค้า ซึ่งไทยได้รับประโยชน์ และชนะคดีที่ประเทศอื่นๆ กีดกันการค้าในหลายกรณี เช่น กรณีพิพาทไก่หมักเกลือ ไทยได้ร่วมกับบราซิล ยื่นฟ้องสหภาพฯต่อ WTO กรณีที่สหภาพฯเปลี่ยนประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าไก่หมักเกลือเป็นสินค้าไก่แช่แข็ง ทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องเสียภาษีเพิ่มมากขึ้นจากเดิมร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 53 รวมภาษีที่ต้องเสียเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3,500 ล้านบาท ซึ่งองค์กรอุทธรณ์ของ WTO ได้ตัดสินให้ไทยชนะคดี ทำให้สหภาพฯต้องลดภาษีนำเข้าไก่หมักเกลือลงมาที่อัตราเดิม

กรณีพิพาท C-Bond และ Zeroing ไทยได้ดำเนินการฟ้องร้องสหรัฐอเมริกา กรณีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเงินประกันภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากุ้งแช่แข็งจากไทย หรือ C-bond และใช้มาตรการ Zeroing เพื่อคำนวณส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด เป็นการกีดกันทางการค้าและขัดกับกฎเกณฑ์ของ WTO โดยผู้ส่งออกกุ้งแช่แข็งของไทยกว่าครึ่งหยุดการส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกสินค้ากุ้งแช่แข็งของไทยต้องวางประกันสูงขึ้นกว่าเดิมประมาณปีละ 1,370 ล้านบาท มาตรการดังกล่าวจึงสร้างภาระให้ผู้ส่งออกไทยเป็นอย่างมาก และองค์กรอุทธรณ์ได้ตัดสินให้ไทยชนะคดีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2551

กรณีพิพาทน้ำตาล ไทยร่วมกับบราซิลและออสเตรเลียฟ้องสหภาพยุโรปต่อ WTO ว่าสหภาพยุโรปให้การอุดหนุนส่งออกน้ำตาลเกินกว่าที่ WTO อนุญาตถึง 3.5 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการอุดหนุนส่งออกสูงกว่าที่ผูกพันไว้ประมาณ 32,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในปี 2545 ไทยได้รับความเสียหายจากการอุดหนุนส่งออกน้ำตาลของสหภาพยุโรปเป็นเงินประมาณ 6,500 ล้านบาท องค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO ได้ตัดสินให้ฝ่ายไทยชนะคดีดังกล่าว ส่งผลให้สหภาพยุโรป ต้องลดการอุดหนุนส่งออกน้ำตาลลงเหลือไม่เกินปีละ 1.27 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการอุดหนุนส่งออกไม่เปิด 499 ล้านยูโรต่อปี ตามที่ได้ผูกพันไว้ใน WTO ทำให้ไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกสามารถส่งออกน้ำตาลได้ในปริมาณและราคาที่สูงขึ้น

มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ภายใต้ WTO มีประโยชน์อย่างไร

กรณีที่ผู้ส่งออกสินค้าส่งสินค้าออกไปขายในต่างประเทศ (Export Price) ในราคาที่ตํ่ากว่าราคาที่ขายภายในประเทศของตน (Normal Value) หรือที่เรียกว่า การทุ่่มตลาด ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และมีผลให้อุตสาหกรรมภายในของประเทศผู้้นําเข้าได้รับความเสียหาย และก่อให้เกิดผลกระทบต่ อระบบเศรษฐกิจและการค้าของประเทศคู่แข่งขัน ดังนั้น WTO จึงอนุญาตให้ประเทศผู้้นําเข้าที่ถูกทุ่่มตลาดสามารถเก็บภาษีเพื่อตอบโต้การทุ่่มตลาดได้ แต่จะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกาที่WTO กําหนดไว้เท่านั้น และไม่สามารถเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาดตามอําเภอใจได้ โดยผู้้ประกอบการของประเทศผู้้นําเข้า สามารถยื่นคําร้องขอต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ไต่สวนว่าสินค้าที่นําเข้ามีการทุ่่มตลาดหรือไม่ โดยประเทศผู้้นําเข้าจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า

  1. มีการทุ่่มตลาดในสินค้าที่ถูกยื่นขอให้ไต่สวนจริง
  2. มีความเสียหายเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศผู้้นําเข้า
  3. ความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากการทุ่่มตลาด

ทั้งนี้ ประเทศที่เรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาดจะเรียกเก็บได้ไม่เกิน 5 ปี และผู้้มีส่วนได้เสีย ได้แก่  ผู้้ส่งออกหรือผู้้นําเข้าซึ่งอยู่่ภายใต้การไต่สวน รัฐบาลประเทศของผู้้ส่งออก หรือผู้้ผลิตสินค้าที่เหมือนกันหรือประเภทเดียวกันของประเทศผู้้นําเข้า สามารถยื่นขอทบทวนเพื่อ ติการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาด หรือลด หรือเพิ่มภาษีอากรตอบโต้การทุ่่มตลาดที่เรียกเก็บได้ แต่จะต้องมีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนด้วย

ลำดับขั้นการฟ้องร้องคดีใน WTO เป็นอย่างไร

กลไกระงับข้อพิพาทของ WTO (DSU) เปรียบเสมือนศาลการค้าระหว่างประเทศ ทําหน้าที่พิจารณาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสมาชิก WTO  และมีบทลงโทษกรณีภาคีที่ถูกตัดสินว่าทําผิด กฎเกณฑ์ของ WTO และไม่ยอมปฏิบัติ ตามคําตัดสิน กลไกระงับข้อพิพาทของ WTO ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายจากประเทศสมาชิก เห็นได้จากจํานวนกรณีพิพาทที่ได้มีการนําเข้าสู่่กระบวนการดังกล่าวกว่า 400 คดี นับตั้งแต่ ก่อตั้ง WTO ในปี 2538 จนถึงปัจจุบัน

ผู้้ที่สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องใน WTO ได้ จะต้องเป็นรัฐบาลของประเทศสมาชิกเท่านั้นโดยประเทศสมาชิกที่เห็นว่าตนเสียประโยชน์เพราะประเทศสมาชิกอื่นไม่ยอมปฏิบัติตามความตกลง WTO ก็สามารถขอหารือกับสมาชิกที่ทําให้ตนเสียหายได้  และหากไม่สามารถตกลงกันได้ ประเทศที่ได้รับความเสียหายก็สามารถขอตั้งคณะผู้้พิจารณาซึ่งทําหน้าที่เหมือนศาล เพื่อให้ตัดสินคดีได้  โดยที่การฟ้องร้องของ WTO มี 2 ลําดับขั้น  คือ การฟ้องคดีต่อคณะผู้้พิจารณา (Panel) ซึ่งเปรียบเสมือนศาลการค้าของโลก และองค์กรอุทธรณ์ (Appellate  Body) ซึ่งเปรียบเสมือนศาลสูง  คณะผู้้พิจารณาจะทําหน้าที่พิจารณาและตัดสินคดี หากประเทศคู่่กรณีไม่อุทธรณ์คําตัดสินของคณะผู้้พิจารณา  สมาชิก WTO ก็จะรับรองคําตัดสินดังกล่าวและถือว่าคําตัดสินนั้นเป็นที่สุดและมีผลผูกพันคู่กรณี เว้นแต่ สมาชิกทั้งหมด 153 ประเทศ มีมติเอกฉันท์ไม่รับรองคําตัดสิน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากมาก

หากประเทศคู่กรณีไม่เห็นด้วยกับคําตัดสินของคณะผู้้พิจารณา ก็สามารถอุทธรณ์ต่อองค์กรอุทธรณ์ได้  และประเทศที่แพ้คดีจะต้องยกเลิกการกระทําที่ถูกตัดสินว่าขัดกับความตกลง WTO ทันทีหรือภายในระยะเวลาที่กําหนด

หากการเจรจารอบโดฮาสำเร็จ และมีผลบังคับใช้ไทยคาดว่าจะได้ประโยชน์อย่างไร

ความสําคัญของการเจรจาต่อประเทศไทยหากการเจรจาสามารถได้ข้อยุติ ได้โดยเร็ว ผลประโยชน์สําคัญที่ไทยจะได้รับ คือ

  • โอกาสการเปิดตลาดจะมีมากขึ้น  เนื่องจากอัตราภาษีนําเข้าจะลดลง โดยเฉพาะในสินค้าสําคัญๆ ของประเทศคู่ ค้าหลักทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร เนื่องจากในปัจจุบั น อัตราภาษีนําเข้ายังอยู่่ในอัตราที่สูง เช่น สหรัฐฯ  สินค้ารองเท้าท 60%  สิ่งทอท 30%  อาหารทะเลกระป๋อง 20% ญี่่ปุ่น  สินค้าข้าว 1,000%  คานาดา เนื้อไก่150% เกาหลี มันสําปะหลัง 887% ไต้หวัน นํ้าตาล 143% เป็นต้น ดังนั้น หากภาษีนําเข้าลดลง โอกาสในการขยายตลาดสินค้าของไทยในตลาดหลักจะมีมากขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้  จะทําให้ไทยมีโอกาสเปิดตลาดใหม่ โดยเฉพาะประเทศกําลังพัฒนาในกลุ่่มอัฟริกา ลาติน อเมริกา และเอเซีย เนื่องจากประเทศกําลังพัฒนาในกลุ่่มเหล่านี้ ยังมีอัตราภาษีเฉลี่ยในระดับที่สูงมาก โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ สินค้าอิเลคโทรนิกส์  สิ่งทอ เครื่องประดับ เป็นต้น
  • ด้านการแข่งทางการค้าจะมีความเป็นธรรม  เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนทางการค้าจะลดลง หรือ หมดไป  โดยเฉพาะการอุดหนุนการผลิตสินค้าภายใน และการสนับสนุนการส่งออกของสินค้าเกษตรซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสําคัญของไทย (มูลค่าส่งออกกว่า3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งในปัจจุบันประเทศใหญ่ๆ ได้ให้การอุดหนุนอยู่มากโดยเฉพาะสินค้า ข้าว นํ้าตาล ไก่ เช่น
    -  การอุดหนุนภายใน:  ข้าว: สหภาพฯ 556 ล้านยูโร สหรัฐฯ 607 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯนํ้าตาล : สหภาพฯ 5,800ล้านยูโร สหรัฐฯ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
    - การสนับสนุนการส่งออก:   ข้าว:สหภาพฯ 30 ล้านยูโร  สหรัฐฯ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นํ้าตาล:สหภาพฯ 400 ล้านยูโร ไก่:สหภาพ และ สหรัฐฯ120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
    ทั้งนี้  การอุดหนุนภายใน และ การสนับสนุนการส่งออก เป็นการก่อให้เกิดการบิดเบือนทางการค้าอันส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีมาก และก่อให้เกิดภาวะราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตกตํ่า ผลคือ สินค้าเกษตรของไทยจะไม่ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างที่ควร
  • โอกาสที่่คนไทยจะสามารถเดินทางไปทํางานหรือ  ดําเนินธรุกิจในต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะในสาขาทที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น บริการด้านสุขภาพ ความงาม สปา ร้านอาหาร และโรงแรม เป็นต้น

จากผลการศึกษาขององค์กรวิชาการในสหรัฐฯ ประเมินว่า หากการเจรจารอบโดฮาสําเร็จจะทําให้การส่งออกโลกเพิ่มขึ้น 180-520 พั นล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี และ GDP เพิ่มขึ้น 300-700 พันล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปี อันจะช่วยลดช่องว่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและกําลังพัฒนาลง  และช่วยบรรเทาวิกฤติเศรษฐกิจที่ทุกประเทศกําลังเผชิญอยู่ด้วย

      
รองรับการทำงานบน Internet Explorer v9+, Firefox v.20+, Safari v.5+, Chrome v.25+, Opera v.10+

จำนวนการเข้าชม : 4,861,124