ในการเจรจา FTA ได้มีการดําเนินการด้วยความโปร่งใสและรอบคอบ โดยมีการศึกษาล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งก่อนและหลังการเจรจาก่อนการเจรจา ได้จัดจ้างสถาบันการศึกษาและนักวิชาการ ศึกษา วิเคราะห์เบื้องต้นถึงความเป็นไปได้และประเมินผลดี ผลเสียในการจัดทํา FTA กั บประเทศต่าง ๆ กว่า 60 โครงการ รวมทั้งร่วมศึกษากับบางประเทศที่แสดงความสนใจอยากทําFTA กับไทย เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี เป็นต้น ซึ่งหากกลุ่มประเทศ/ประเทศใดในภาพรวมได้ประโยชน์มากกว่าผลกระทบก็เจรจาต่อไประหว่างการเจรจา ได้มีการประชุมหารือกับภาคเอกชนรวมทั้งศึกษาวิเคราะห์เพิ่มเติมและประเมินผลเป็นระยะ ๆ ควบคู่กันไป หากมีประเด็นต้องแก้ไขก็จะศึกษาทบทวนหลังการเจรจา ติดตามและประเมินผลภายหลังความตกลงมีผลบังคับใช้ รวมถึงแนวทางการขยายประโยชน์จากการทํา FTA
ในการเจรจาจัดทําFTA รัฐบาลได้ดําเนินการด้วยความโปร่งใส ยึดหลั กการมีส่วนร่วมกับทุกฝ่ายโดยได้มีการสร้างความรู้ความเข้าใจและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนทั้งกลุ่มที่มีส่วนได้เสีย และกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบจากการทําFTA ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมในการให้ข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับการเจรจา โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการ ดังนี้
การสร้างความรู้ความเข้าใจ
- จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการเจรจาต่อกลุ่่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง(SMEs) เกษตรกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
- เผยแพร่ข้อมูลผลการเจรจา FTA อย่างกว้างขวางผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
- จัดตั้ง Call Center เพื่อตอบข้อซักถามทางโทรศัพท์ที่ หมายเลข 02-507-7555 และร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกในการให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ FTA ณ ศูนย์ One Stop Service กรมส่งเสริมการส่งออก ถนนรัชดาภิเษก
แม้ว่าการทําความตกลงการค้าเสรี(FTA) จะมีการเปิดตลาดโดยการลดภาษีนําเข้าระหว่างประเทศภาคี และมีข้อกังวลใจว่าFTA จะทําให้ประเทศไทยมีรายได้จากการเก็บภาษีศุลกากรลดลง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเมื่อหักล้างกับการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศภาคีแล้ว ในที่สุดรัฐจะมีรายได้จากการเก็บภาษีต่างๆ ในประเทศลดลง เนื่องจากรายได้หลักของรัฐบาลมาจากการจัดเก็บภาษีโดย
กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ซึ่งในปีงบประมาณ2552 สัดส่ วนต่อรายได้รัฐทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ75.4, 19.3 และ5.3 ตามลําดั บ ดังนั้น การลดภาษีศุลกากรภายใต้FTA อาจมีผลต่อรายได้โดยรวมของรัฐไม่มากนัก ทั้งนี้ FTA จะช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศภาคี เมื่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น ผู้้ประกอบการมีรายได้มากขึ้น การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นและมีการจ้างงานมากขึ้น รัฐอาจจัดเก็บภาษีชนิดอื่นๆ ได้เพิ่มขึ้น ที่สําคัญมีดังนี้
- ภาษีทางตรง เมื่อผู้้ประกอบการมีรายได้มากขึ้น หรือมีการจ้างงานมากขึ้น รัฐย่อมเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลได้มากขึ้น ทั้งนี้รวมถึงการจัดเก็บภาษีจากแรงงานหรือผู้้ประกอบการต่างชาติ ที่เข้ามาทํางานหรือเข้ามาลงทุนและมีรายได้ในประเทศไทย
- ภาษีทางอ้อม
2.1 ภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) เมื่อมีการนําเข้าสินค้า หรือเมื่อมีการบริโภคสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
ในประเทศ รัฐย่อมสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มขึ้น
2.2 ภาษีธุรกิจเฉพาะ รัฐอาจจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะกับผู้้ประกอบธุรกิจบางประเภทที่กฎหมาย
กําหนดได้เพิ่มขึ้น เช่น
- เมื่อมีการขายห้องชุ ดหรือที่ดินให้แก่ผู้้ประกอบการเพิ่มขึ้น
- เมื่อธนาคารให้สินเชื่อแก่ผู้้ประกอบการเพื่อใช้ลงทุนในกิจการเพิ่มขึ้น เป็นต้น
จากสถิติ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีการขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากFTA โดยตรงเพียง1 ราย ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย ในธุรกิจบริการติดตั้งแผ่นเหล็กกล้าที่ใช้ในการ
มุงหลังคาและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ทําด้วยเหล็กกล้า โดยมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท เมื่อปี2549 การที่มีการขอใช้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากFTA โดยตรงไม่มากนัก เนื่องจากไทยไม่ได้ให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนภายใต้FTA เกินกว่าที่กฎหมายปัจจุบั นกําหนดไว้ อย่างไรก็ตาม นอกจากสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจากBOI แล้ว การจั ดทําความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการลงทุนจากต่างประเทศได้
มูลค่าการลงทุน(ล้านบาท)
ประเทศ | ก่อนทำ FTA | 2547 | 2548 | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 |
---|---|---|---|---|---|---|---|
ออสเตรเลีย | 2547 : 4,987.8 | - | 1,209.7 | 513.7 | 1,557.4 | 3,195.0 | 676.0 |
นิวซีแลนด์ | 2547 : 108.0 | - | - | 80.0 | 42.7 | 875.0 | - |
จีน | 2546 : 1,389.6 | 4,432.5 | 2,285.6 | 2,455.7 | 15,855.9 | 3,474.0 | 7,009.0 |
อินเดีย | 2546 : 3,519.3 | 1,615.2 | 1,105.9 | 2,670.6 | 7,398.3 | 9,592.0 | 3,680.0 |
ญี่ปุ่น | 2550 : 164,323.0 | - | - | - | - | 106,155.0 | 58,905.0 |
อาเซียน | 2535 : 11,118.2 | 29,826.0 | 35,573.0 | 23,031.0 | 50,087.0 | 50,407.0 | 18,227.0 |
ที่มา : มูลค่าการลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติ : สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
รัฐบาลได้เลือกประเทศที่จะทํา FTA โดยมีเหตุผลสําคัญ เพื่อรักษาสถานภาพและศักยภาพในการส่งออกของไทยในการขยายโอกาสการส่งออก และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้าไทยโดยมีหลั กเกณฑ์ในการเลือกประเทศที่ทํา FTA ดังนี้
- เป็นตลาดการค้าดั้งเดิมของไทย เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ฯลฯ
- ตลาดใหม่ ที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ฯลฯ
- แหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพราคาตํ่า เช่น จีน อินเดีย ฯลฯ
- ประเทศที่มีศักยภาพด้านการค้าและการลงทุน เช่น เปรู สมาคมการค้าเสรียุโรป (European Free Trade Association : EFTA) และเป็นประตู เชื่อมโยงการค้าและการลงทุ นไปสู่ประเทศในภูมิภาค
ใกล้เคียง
ปัจจุบันสถานการณ์การแข่งขันในตลาดโลกได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ไทยต้องพึ่งพิงการค้าระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ การส่งออกถือเป็นจักรกลสําคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2552 นํารายได้เข้าประเทศกว่า 5 ล้านล้านบาท คิดเป็นครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมด การทํา FTA จึงมีผลสําคัญเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้
- ช่วยรักษาตลาดเดิม และขยายการค้าสู่ตลาดใหม่ เพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการของไทยที่มีศักยภาพ
- ลดอุปสรรคด้านภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษีระหว่างกัน
- ลดการพึ่งพาสิทธิพิเศษด้านภาษี (Generalized System of Preference :GSP) ซึ่งมีความไม่แน่นอน
- ดึงดูดต่างชาติให้ย้ายฐานการผลิตและการลงทุนมาไทยมากขึ้น ขณะเดียวกันสนับสนุนคนไทยไปลงทุนต่างประเทศ
- ผลักดันให้มีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่มีศักยภาพจากการที่ไทยยังต้องพึ่งการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งออก ไทยจึงต้องทํางานใน 2 ส่วนไปพร้อม ๆ กัน ส่วนแรกคือการเจาะตลาด/ส่งเสริมการส่งออก ส่วนที่ 2 คือ การทําให้อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดประเทศคู่ค้าลดน้อยลง ซึ่งการทําให้อุปสรรคลดน้อยลงนั้น ต้องทําผ่านการเจรจาในเวทีระดับต่าง ๆ
- การเจรจาในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็น FTA ระดับโลกที่ GATT/WTO โดยสมาชิก 100 กว่าประเทศมาเจรจาพร้อมกันหมด
- การเจรจาใน 10 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนมาเน้นการเจรจา FTA ในระดับภูมิภาค เช่น EUNAFTA ตามด้วยระหว่างภูมิภาค เช่น EU-Mercosur และ FTA ระหว่างประเทศ
- ไทยต้องเจรจาเพื่อรักษา margin ในการแข่งขันของไทยไว้ไม่ให้สินค้าของไทยในตลาดคู่ค้าเสียเปรียบคู่แข่ง เพราะได้สิทธิพิเศษดีกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษี หรือมิใช่ภาษี(NTM : Non-tariff Measures)
ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) หมายถึง การรวมกลุ่มเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมาย เพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลุ่มลงให้เหลือน้อยที่่สุด หรือเป็น 0% และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม การทําความตกลงการค้าเสรีในอดีตมุ่งในด้านการเปิดเสรีด้านสินค้า (goods) โดยการลดภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีเป็นหลัก แต่ความตกลงการค้าเสรีในระยะหลังๆ นั้นรวมไปถึงการเปิดเสรีด้านบริการ (services) และการลงทุนด้วย
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ตั้งแต่เริ่มเจรจา โดยเปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็น โดยได้หารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน กลุ่มส่วนที่มีส่วนได้เสีย กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการเจรจา มีการดำเนินการในแนวทางต่างๆ ดังนี้
- หน่วยงานรัฐ การประชุมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
- ภาคการเมือง การชี้แจงข้อมูลสถานการณ์เจรจา และรับฟังข้อคิดเห็นจากคณะ กรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นระยะๆ
- ภาคเอกชน
- หารือกับผู้ผลิต ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมกว่า 30 สาขา
- การประชุมร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯและสภาหอการค้าฯเป็นประจำและต่อเนื่อง
-
ประชาชนทั่วไป รวมทั้งนักวิชาการ
-
การจัดเวทีสาธารณะรับฟังความเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน เกี่ยวกับความตกลงต่างๆแต่ละความตกลง 7 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2552
-
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออก ให้บริการตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ FTA ณ ศูนย์ One Stop Services กรมส่งเสริมการส่งออก ถนนรัชดาภิเษก
-
การจัดสัมมนา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังข้อคิดเห็นอย่างสม ่าเสมอ โดยตั้งแต่ ต.ค. 2550 – 2552 ได้จัดสัมมนารวม 79 ครั้ง
-
การเปิดให้มีส่วนร่วมในวงกว้าง
- จัดทำแบบสอบถามความเห็นเกี่ยวกับ FTA เพื่อรับฟังความเห็นของประชาชน ผ่านระบบอินเตอร์เนตของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
- จัดตั้ง Call Center เพื่อให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์ รับเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลการเจรจาของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งเข้าร่วมศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน 1111 โดยผ่าน 4 ช่องทางของสำนักนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์สายด่วนรัฐบาล หมายเลข 1111,เว็บไซต์ www.1111. go.th ,ตู้ ป.ณ.1111 ไม่ต้องติดแสตมป์และจุดบริการประชาชน 1111
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนการเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสในการจัดทำหนังสือสัญญาทั้งหมดที่นำเสนอ มีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนราชการต่างๆ จึงได้ประสานให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการเจรจาจัดทำความตกลงด้วยตั้งแต่เริ่มแรก เช่น
- ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าของอาเซียน ได้ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
- ความตกลงว่าด้วยการลงทุนของอาเซียน ได้ร่วมกับกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
- ความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนกับคู่เจรจา ได้ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในแต่ละหัวข้อเจรจา เช่น
- การลดภาษีสินค้า ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม
- พิธีการศุลกากรและถิ่นกำเนิดสินค้า ร่วมกับกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
- มาตรฐานสินค้าและมาตรการสุขอนามัย ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรฯ เป็นต้น
ปัจจุบัน ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศพัฒนาแล้วได้พยายามนำเรื่องสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอีกประการหนึ่ง ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญมากขึ้นในหลายๆ ด้านรวมไปถึงการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าด้วย จึงส่งผลให้สิ่งแวดล้อมมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ทั้งในการผลิตและการค้าสินค้า WTO เองก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยได้มีประเด็นการเจรจาอยู่ 3 เรื่องคือ
- ความสัมพันธ์ระหว่างกฎเกณฑ์ WTO กับมาตรการการค้าภายใต้ความตกลงสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
- กระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างฝ่ายเลขาธิการของความตกลงพหุภาคีเรื่องสิ่งแวดล้อมต่างๆ (Multilateral Environmental Agreements : MEAs) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมของ WTOและหลักเกณฑ์ในการให้สถานะผู้สังเกตการณ์แก่ MEAs
- ลดหรือยกเลิกมาตรการภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้เป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากสามารถเห็นผลในเชิงรูปธรรมได้ชัดเจน ที่ผ่านมา ในการเจรจาเรื่องสิ่งแวดล้อมภายใต้WTO ประเทศสมาชิกมีความต้องการที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องในการให้คำจำกัดความของสินค้า
สิ่งแวดล้อมหรือวิธีการลดภาษีประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหภาพยุโรปได้พยายามผลักดันให้มีการเจรจาเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมไปพร้อมกับขยายการค้า และให้มีการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันในการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลก ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนามีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน เช่น ยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมและยังไม่มีกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด อีกทั้งยังเกรงว่าประเทศพัฒนาแล้ว อาจใช้เรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้า จึงทำให้การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้จนถึงปัจจุบันนี้ และยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการเจรจากันต่อไป
การต่อสู้กับประเทศใหญ่ในกรณีที่ประเทศเหล่านั้นมีการใช้มาตรการที่บิดเบือนการค้า ซึ่งไทยได้รับประโยชน์ และชนะคดีที่ประเทศอื่นๆ กีดกันการค้าในหลายกรณี เช่น กรณีพิพาทไก่หมักเกลือ ไทยได้ร่วมกับบราซิล ยื่นฟ้องสหภาพฯต่อ WTO กรณีที่สหภาพฯเปลี่ยนประเภทพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าไก่หมักเกลือเป็นสินค้าไก่แช่แข็ง ทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องเสียภาษีเพิ่มมากขึ้นจากเดิมร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 53 รวมภาษีที่ต้องเสียเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3,500 ล้านบาท ซึ่งองค์กรอุทธรณ์ของ WTO ได้ตัดสินให้ไทยชนะคดี ทำให้สหภาพฯต้องลดภาษีนำเข้าไก่หมักเกลือลงมาที่อัตราเดิม
กรณีพิพาท C-Bond และ Zeroing ไทยได้ดำเนินการฟ้องร้องสหรัฐอเมริกา กรณีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเงินประกันภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากุ้งแช่แข็งจากไทย หรือ C-bond และใช้มาตรการ Zeroing เพื่อคำนวณส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาด เป็นการกีดกันทางการค้าและขัดกับกฎเกณฑ์ของ WTO โดยผู้ส่งออกกุ้งแช่แข็งของไทยกว่าครึ่งหยุดการส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกสินค้ากุ้งแช่แข็งของไทยต้องวางประกันสูงขึ้นกว่าเดิมประมาณปีละ 1,370 ล้านบาท มาตรการดังกล่าวจึงสร้างภาระให้ผู้ส่งออกไทยเป็นอย่างมาก และองค์กรอุทธรณ์ได้ตัดสินให้ไทยชนะคดีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2551
กรณีพิพาทน้ำตาล ไทยร่วมกับบราซิลและออสเตรเลียฟ้องสหภาพยุโรปต่อ WTO ว่าสหภาพยุโรปให้การอุดหนุนส่งออกน้ำตาลเกินกว่าที่ WTO อนุญาตถึง 3.5 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการอุดหนุนส่งออกสูงกว่าที่ผูกพันไว้ประมาณ 32,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในปี 2545 ไทยได้รับความเสียหายจากการอุดหนุนส่งออกน้ำตาลของสหภาพยุโรปเป็นเงินประมาณ 6,500 ล้านบาท องค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO ได้ตัดสินให้ฝ่ายไทยชนะคดีดังกล่าว ส่งผลให้สหภาพยุโรป ต้องลดการอุดหนุนส่งออกน้ำตาลลงเหลือไม่เกินปีละ 1.27 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการอุดหนุนส่งออกไม่เปิด 499 ล้านยูโรต่อปี ตามที่ได้ผูกพันไว้ใน WTO ทำให้ไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกสามารถส่งออกน้ำตาลได้ในปริมาณและราคาที่สูงขึ้น
กรณีที่ผู้ส่งออกสินค้าส่งสินค้าออกไปขายในต่างประเทศ (Export Price) ในราคาที่ตํ่ากว่าราคาที่ขายภายในประเทศของตน (Normal Value) หรือที่เรียกว่า การทุ่่มตลาด ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และมีผลให้อุตสาหกรรมภายในของประเทศผู้้นําเข้าได้รับความเสียหาย และก่อให้เกิดผลกระทบต่ อระบบเศรษฐกิจและการค้าของประเทศคู่แข่งขัน ดังนั้น WTO จึงอนุญาตให้ประเทศผู้้นําเข้าที่ถูกทุ่่มตลาดสามารถเก็บภาษีเพื่อตอบโต้การทุ่่มตลาดได้ แต่จะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกาที่WTO กําหนดไว้เท่านั้น และไม่สามารถเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาดตามอําเภอใจได้ โดยผู้้ประกอบการของประเทศผู้้นําเข้า สามารถยื่นคําร้องขอต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ไต่สวนว่าสินค้าที่นําเข้ามีการทุ่่มตลาดหรือไม่ โดยประเทศผู้้นําเข้าจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า
- มีการทุ่่มตลาดในสินค้าที่ถูกยื่นขอให้ไต่สวนจริง
- มีความเสียหายเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศผู้้นําเข้า
- ความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากการทุ่่มตลาด
ทั้งนี้ ประเทศที่เรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาดจะเรียกเก็บได้ไม่เกิน 5 ปี และผู้้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ผู้้ส่งออกหรือผู้้นําเข้าซึ่งอยู่่ภายใต้การไต่สวน รัฐบาลประเทศของผู้้ส่งออก หรือผู้้ผลิตสินค้าที่เหมือนกันหรือประเภทเดียวกันของประเทศผู้้นําเข้า สามารถยื่นขอทบทวนเพื่อ ติการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่่มตลาด หรือลด หรือเพิ่มภาษีอากรตอบโต้การทุ่่มตลาดที่เรียกเก็บได้ แต่จะต้องมีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนด้วย
กลไกระงับข้อพิพาทของ WTO (DSU) เปรียบเสมือนศาลการค้าระหว่างประเทศ ทําหน้าที่พิจารณาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสมาชิก WTO และมีบทลงโทษกรณีภาคีที่ถูกตัดสินว่าทําผิด กฎเกณฑ์ของ WTO และไม่ยอมปฏิบัติ ตามคําตัดสิน กลไกระงับข้อพิพาทของ WTO ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายจากประเทศสมาชิก เห็นได้จากจํานวนกรณีพิพาทที่ได้มีการนําเข้าสู่่กระบวนการดังกล่าวกว่า 400 คดี นับตั้งแต่ ก่อตั้ง WTO ในปี 2538 จนถึงปัจจุบัน
ผู้้ที่สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องใน WTO ได้ จะต้องเป็นรัฐบาลของประเทศสมาชิกเท่านั้นโดยประเทศสมาชิกที่เห็นว่าตนเสียประโยชน์เพราะประเทศสมาชิกอื่นไม่ยอมปฏิบัติตามความตกลง WTO ก็สามารถขอหารือกับสมาชิกที่ทําให้ตนเสียหายได้ และหากไม่สามารถตกลงกันได้ ประเทศที่ได้รับความเสียหายก็สามารถขอตั้งคณะผู้้พิจารณาซึ่งทําหน้าที่เหมือนศาล เพื่อให้ตัดสินคดีได้ โดยที่การฟ้องร้องของ WTO มี 2 ลําดับขั้น คือ การฟ้องคดีต่อคณะผู้้พิจารณา (Panel) ซึ่งเปรียบเสมือนศาลการค้าของโลก และองค์กรอุทธรณ์ (Appellate Body) ซึ่งเปรียบเสมือนศาลสูง คณะผู้้พิจารณาจะทําหน้าที่พิจารณาและตัดสินคดี หากประเทศคู่่กรณีไม่อุทธรณ์คําตัดสินของคณะผู้้พิจารณา สมาชิก WTO ก็จะรับรองคําตัดสินดังกล่าวและถือว่าคําตัดสินนั้นเป็นที่สุดและมีผลผูกพันคู่กรณี เว้นแต่ สมาชิกทั้งหมด 153 ประเทศ มีมติเอกฉันท์ไม่รับรองคําตัดสิน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากมาก
หากประเทศคู่กรณีไม่เห็นด้วยกับคําตัดสินของคณะผู้้พิจารณา ก็สามารถอุทธรณ์ต่อองค์กรอุทธรณ์ได้ และประเทศที่แพ้คดีจะต้องยกเลิกการกระทําที่ถูกตัดสินว่าขัดกับความตกลง WTO ทันทีหรือภายในระยะเวลาที่กําหนด
ความสําคัญของการเจรจาต่อประเทศไทยหากการเจรจาสามารถได้ข้อยุติ ได้โดยเร็ว ผลประโยชน์สําคัญที่ไทยจะได้รับ คือ
- โอกาสการเปิดตลาดจะมีมากขึ้น เนื่องจากอัตราภาษีนําเข้าจะลดลง โดยเฉพาะในสินค้าสําคัญๆ ของประเทศคู่ ค้าหลักทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร เนื่องจากในปัจจุบั น อัตราภาษีนําเข้ายังอยู่่ในอัตราที่สูง เช่น สหรัฐฯ สินค้ารองเท้าท 60% สิ่งทอท 30% อาหารทะเลกระป๋อง 20% ญี่่ปุ่น สินค้าข้าว 1,000% คานาดา เนื้อไก่150% เกาหลี มันสําปะหลัง 887% ไต้หวัน นํ้าตาล 143% เป็นต้น ดังนั้น หากภาษีนําเข้าลดลง โอกาสในการขยายตลาดสินค้าของไทยในตลาดหลักจะมีมากขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ จะทําให้ไทยมีโอกาสเปิดตลาดใหม่ โดยเฉพาะประเทศกําลังพัฒนาในกลุ่่มอัฟริกา ลาติน อเมริกา และเอเซีย เนื่องจากประเทศกําลังพัฒนาในกลุ่่มเหล่านี้ ยังมีอัตราภาษีเฉลี่ยในระดับที่สูงมาก โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ สินค้าอิเลคโทรนิกส์ สิ่งทอ เครื่องประดับ เป็นต้น
- ด้านการแข่งทางการค้าจะมีความเป็นธรรม เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนทางการค้าจะลดลง หรือ หมดไป โดยเฉพาะการอุดหนุนการผลิตสินค้าภายใน และการสนับสนุนการส่งออกของสินค้าเกษตรซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสําคัญของไทย (มูลค่าส่งออกกว่า3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งในปัจจุบันประเทศใหญ่ๆ ได้ให้การอุดหนุนอยู่มากโดยเฉพาะสินค้า ข้าว นํ้าตาล ไก่ เช่น
- การอุดหนุนภายใน: ข้าว: สหภาพฯ 556 ล้านยูโร สหรัฐฯ 607 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯนํ้าตาล : สหภาพฯ 5,800ล้านยูโร สหรัฐฯ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- การสนับสนุนการส่งออก: ข้าว:สหภาพฯ 30 ล้านยูโร สหรัฐฯ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นํ้าตาล:สหภาพฯ 400 ล้านยูโร ไก่:สหภาพ และ สหรัฐฯ120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ การอุดหนุนภายใน และ การสนับสนุนการส่งออก เป็นการก่อให้เกิดการบิดเบือนทางการค้าอันส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีมาก และก่อให้เกิดภาวะราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตกตํ่า ผลคือ สินค้าเกษตรของไทยจะไม่ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างที่ควร - โอกาสที่่คนไทยจะสามารถเดินทางไปทํางานหรือ ดําเนินธรุกิจในต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะในสาขาทที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น บริการด้านสุขภาพ ความงาม สปา ร้านอาหาร และโรงแรม เป็นต้น
จากผลการศึกษาขององค์กรวิชาการในสหรัฐฯ ประเมินว่า หากการเจรจารอบโดฮาสําเร็จจะทําให้การส่งออกโลกเพิ่มขึ้น 180-520 พั นล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี และ GDP เพิ่มขึ้น 300-700 พันล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปี อันจะช่วยลดช่องว่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและกําลังพัฒนาลง และช่วยบรรเทาวิกฤติเศรษฐกิจที่ทุกประเทศกําลังเผชิญอยู่ด้วย